2554/05/02

10 สมุนไพรจีนบนพื้นบ้านไทย หาง่าย ดีต่อสุขภาพด้วย

  คนไทยเรามีคำสุภาษิต "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" แต่ถ้าเป็นตำรับจีนแล้ว อาหารทุกอย่างคือยาบำรุงร่างกายทั้งนั้นหากเรารู้จักและใช้อย่างถูกต้อง และ 10 อย่างนี้คืออาหารที่คนไทยเรารู้จักกันดี แต่คุณจะรู้มั้ยถึงสรรพคุณของมัน?

1. เห็ดหลินจือ
          ในปี 2003 การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Ethnopharmacology ยืนยันว่าเห็ดหลินจือโดดเด่นในสรรพคุณของสารต้านอนุมูลอิสระ ผู้ป่วยเอดส์และมะเร็งบางรายจึงใช้เห็ดหลินจือในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เร่งการผลิตเม็ดเลือดขาว บรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบในผู้ชาย และอาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตหรือแพร่กระจายของเนื้องอกในร่างกาย อย่างไรก็ดี เห็ดหลินจืดมีผลข้างเคียงที่ต้องระวัง เช่น อาจทำให้คลื่นเหียน คัน และหากกินมากเกินไป อาจกระตุ้นอาการบ้านหมุนก็ได้


2. เก๋ากี้
          มีชื่ออินเตอร์ว่า "โกจิเบอร์รี่" (แต่คนไทยอาจจะคุ้นเคยกับชื่อภาษาจีนมากกว่า) เห็นเล็ก ๆ อย่างนี้ แต่ก็เต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ใยอาหาร แคลเซียม โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี ซีลีเนียม วิตามินบี 2 วิตามิน และยังมีกรดไขมันโอเมก้า-3 อีกด้วย แม้โดยรวมจะไม่มีการพิสูจน์ทางคลินิก แต่ก็เชื่อกันว่าเก๋ากี้มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะชั้นเลิศ


3. เกาลัดจีน
          เกาลัดต่างจากถั่วหรือเมล็ดพืชอื่น ๆ ตรงที่มันมีไขมันน้อยมาก แต่กลับเป็นถั่วชนิดเดียวที่มีวิตามินซี เทียบเท่ากับมะนาว แน่นอนว่ามันเป็นพืชจึงไม่มีคอเลสเตอรอล เกาลัดจีนมีสารอาหารคล้ายข้าวกล้อง จึงมีคำกล่าวว่ามันคือ "ธัญพืชที่เกิดบนต้นไม้" ด้วย ความที่มันมีกรดโฟลิก วิตามินซี และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มันจึงเป็นหนึ่งในอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายได้ดีที่สุด นอกจากนี้ ชาวจีนโบราณยังเชื่อว่าเกาลัดจะช่วยให้ลมหายใจหวานสดชื่นอีกด้วย


4. เก๊กฮวย
          ชาเก๊กฮวยถูกใช้เป็นยาพื้นบ้านมานานในฐานะยาลดไข้ โดยมีสารอาหารทั้งวิตามินเอ วิตามินบี1 กรดอะมิโน ฟลาวานอยด์ เชื่อกันว่ามันจะช่วยลดความดันโลหิตสูง ลดคอเลสเตอรอล "เลว" และบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก นอกจากนี้ การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Ethnopharmacology ก็ยังเปิดเผยว่ามันมีสรรพคุณช่วยปกป้องระบบประสาทจากความแก่ชราหรืออาการบาด เจ็บต่าง ๆ ดังนั้น เป็นหนุ่มสาวก็ดื่มได้ประโยชน์ดีเช่นกัน

          Tip : เปลี่ยนจากชาฝรั่งมาดื่มชาเก๊กฮวยกันบ้าง โดยนำดอกเก๊กฮวยแห้งแช่ในน้ำร้อนประมาณ 5 นาที ก็จะได้ชาเก๊กฮวยสีเหลืองที่หอมกลิ่นดอกไม้


5. แปะก๊วย
          เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหับสุภาพสตรีที่กำลังเข้าสู่วัยทอง เนื่องจากมันมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งอาจช่วยทำหน้าที่แทนฮอร์โมนที่ไม่สมดุลได้ นักวิจัยจึงเชื่อว่ามันมีสรรพคุณบรรเทาอาการของวัยของหลายอย่าง ได้แก่ โรคกระดูกพรุน โรคนอนไม่หลับ อัลไซเมอร์ และโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม การกินแปะก๊วย ก็อาจให้ผลข้างเคียง อย่างเช่น ท้องร่วง ปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง คลื่นไส้อาเจียน เลือดไหลหรือผิวช้ำผิดปกติ หากมีอาการดังกล่าวก็ให้รีบไปพบแพทย์เสีย

เห็ดหอม

6. เห็ดหอม
          อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก วิตามินซี โปรตีน และใยอาหาร เห็ดหอมอยู่ในตำรับยาจีนมานานกว่า 6 พ้นปี โดยเชื่อว่ามันสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้เพราะมีสารชนิดหนึ่งชื่อว่า Letinan คอยต่อสู้กับเชื้อไวรัสต่าง ๆ มันอัดแน่นไปด้วย L-Ergothioneine สารต้านอนุมูลอิสระ และดีต่อหัวใจ เนื่องจากมันช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในเห็ดหอมมีสาร Purines หากกินมากเกินไปแล้วอาจทำให้มีการสะสมกรดยูริกจนเสี่ยงต่อโรคเกาต์ และนิ่วในไตอย่างมาก คนที่มีปัญหาไต หรือเกาต์จึงไม่ควรกินเห็ดหอม


7. เมล็ดบัว
          เป็นแหล่งโปรตีน แมกนีเซียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส รวมถึงเอนไซม์ชนิดหนึ่ง ชื่อว่า L-lsoaspartyl Methyltransferase ซึ่งช่วยซ่อมแซมโปรตีนที่ถูกทำลาย นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อกันว่าเมล็ดบัวเป็นอาหารที่ช่วยชะลอความแก่ชราได้ใน ตำรับจีนเชื่อว่า รสหวานโดยธรรมชาติของเมล็ดบัวจะช่วยบรรเทาอาการท้องร่วง และช่วยกล่อมเกลาจิตใจ ทำให้นอนหลับสบาย ส่วนแกนของเมล็ดนั้นมีรสขมและมีฤทธิ์เย็น จึงดีต่อหัวใจ โดยการช่วยขยายหลอดเลือดและลดความดันโลหิต อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยมีสรรพคุณรักษาอาการท้องร่วง คนที่ท้องผูกจึงควรหลีกเลี่ยงเมล็ดบัวโดยเด็ดขาด
โสมเกาหลี


8. โสม
          หากพูดกันถึงสมุนไพรจีนคงขาดโสมไปไม่ได้โสมแดงของจีนนั้นถูกใช้ในทางการ แพทย์มาหลายศตวรรษ และในปัจจุบันก็ยังมีการใช้อย่างแพร่หลาย ในสมัยโบราณเชื่อว่าโสมเป็นยาอายุวัฒนะส่งเสริมปัญญาและความแข็งแรง แม้ว่ายังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม แต่การศึกษาจาก University of Maryland ก็ชี้ว่าโสมสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้จริง ช่วยลดคอเลสเตอรอลเลว และช่วยให้กระปรี้กระเปร่า อย่างไรก็ดี โสมไม่เหมาะกับคนที่เป็นความดันโลหิตสูง คนที่เป็นเบาหวาน สตรีมีครรภ์ และหญิงสาวที่กำลังให้นมบุตร


9. รากชะเอม
          นอก จากใช้ในตำรับจีนแล้วยังสาวต้นตอไปได้ถึงสมัยโรมันซึ่งมีการต้มรากชะเอม เพื่อบรรเทาอาการไอ หอบ เจ็บคอ โรคปอดอื่น ๆ และเชื่อว่ามันจะช่วยชะล้างภายในลำไส้ได้ นอกจากนี้ ยังเหมาะกับผู้หญิงวัยทองเนื่องจากมันมีไฟโตเอสโตรเจนด้วย อย่างไรก็ตาม การกินรากชะเอมมาก ๆ ก็อาจทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไม่ควรกินพร้อมกับยาขับปัสสาวะ เช่นเดียวกับที่คนเป็นโรคเบาหวานกับโรคตับ ควรจะหลีกเลี่ยงรากชะเอมเหมือนกัน


10. เฉาก๊วย
          ด้วยเหตุที่มันดำ แวววาว และเด้งดึ๋ง เป็นที่สุด คนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยนึกถึงเฉาก๊วยในแง่ของสมุนไพรหรืออาหารเพื่อสุขภาพ เฉาก๊วยมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Black Jelly หรือ Grass Jelly ซึ่งตัวมันเองเป็นอาหารที่มีธาตุหยิน หรือเป็นอาหารเย็นนั่นเอง ทำให้เหมาะจะกินในหน้าร้อน และบรรเทาอาการปวดท้อง คลื่นเหียน อาหารไม่ย่อย นอกจากนี้ ยังมีใยอาหารชนิดละลายในน้ำ ซึ่งอาจจับเอาน้ำตาลและไขมันออกมาได้ มันจึงช่วยป้องกันเบาหวานและโรคหัวใจได้อีกทางหนึ่ง (ตราบใดที่คุณไม่ใส่น้ำเชื่อมเยอะมากเกินไปละก็นะ)


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

2554/05/01

คลายร้อน...ด้วยการบริโภคอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ

วิตามินบี
 


"สำหรับในหน้า ร้อน ร่างกายของเราจะมีการขับเหงื่อมากกว่าปกติ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียหรืออาจเกิดอาการภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ เพราะน้ำในร่างกายจะสูญเสียไปกับเหงื่อ แต่มีสมุนไพรไทยหลายชนิดที่มีฤทธิ์ช่วยลดคลายร้อน ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายได้ โดยเฉพาะสมุนไพรที่มีรสขมจะมีฤทธิ์เย็นที่ทำให้รู้สึกสดชื่น รวมทั้งช่วยปรับธาตุในร่างกายให้สมดุล เช่น มะระ ใบบัวบก แตงกวา สะเดา ขี้เหล็ก แตงโม กระเจี๊ยบ ฯลฯ อาหารในแต่ละมื้ออาจจะมีสมุนไพร เหล่านี้อยู่สักหนึ่งเมนู จะเป็นยอดมะระต้มจิ้มกับน้ำพริกหรือแกงขี้เหล็กปลาย่าง นอกจากจะช่วยดับร้อนแล้วยังช่วยในส่วนของระบบขับถ่ายอีกด้วย หรือหากต้องการดับกระหายก็เลือกดื่มน้ำแตงโม น้ำมะนาว น้ำมะพร้าว น้ำมะตูม น้ำยาอุทัย ผลไม้เหล่านี้จะช่วยเพิ่มความสดชื่นและดับกระหายได้"

          ด้านโภชนากรซูซาน โบเวอร์แมน ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ ได้ให้คำแนะนำว่าในฤดูร้อน อาหารเบา ๆ เหมาะสำหรับร่างกายของคนเรามากกว่าอาหารหนักซึ่งเหมาะสำหรับรับประทานในฤดู หนาวที่มีอากาศหนาวเย็น ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นเพราะอากาศร้อนที่ทำให้เราต้องการบริโภคอาหารเบาๆ หรือเป็นเพราะมีอาหารสำหรับหน้าร้อนให้เลือกรับประทานหลากหลายชนิด แต่จริงๆ แล้ว โดยธรรมชาติของร่างกายคนเราจะเปิดรับน้ำและผักผลไม้ที่อุดมด้วยน้ำในยาม อากาศร้อนมากที่สุด

          อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นในหน้าร้อนทำให้ร่างกายของเราขับเหงื่อออกมากขึ้น ส่งผลให้เราสูญเสียน้ำและแร่ธาตุหลากหลายชนิดในร่างกาย อาทิ โซเดียม โปแตสเซียม และแมกนีเซียม เป็นต้น น้ำและแร่ธาตุส่วนที่ถูกขับออกจากร่างกายนั้นไม่มีการสร้างเสริมขึ้นมาทดแทน ใหม่ เราจึงรู้สึกอ่อนเพลียและไร้เรี่ยวแรง ซึ่งแน่นอนว่าสภาวะเช่นนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณอยากออกไปสนุกสนานในฤดูร้อน...และต่อไปนี้ คือสุดยอดอาหารคลายร้อนที่โภชนากรซูซานแนะนำ

          สุดยอดอาหารคลายร้อน

          ผักและผลไม้ทุกชนิดอุดมด้วยน้ำ และส่วนใหญ่ก็เป็นแหล่งสร้างเสริมโปแตสเซียมที่ดี ดังนั้น "ผลไม้" จึงเป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับฤดูร้อน แต่ยังมี สุดยอดอาหารคุณภาพอีก 4 ประเภท ที่ช่วยทำให้คลายร้อนได้มากขึ้น ได้แก่ ผลไม้จำพวกแตง (Melon) เบอร์รี่ ผักขม และพริกไทย...แต่จะสุดยอดอย่างไรล่ะ!.


ผลไม้จำพวกแตง
  อันดับ 1 : ผลไม้จำพวกแตง

          บรรดาเหล่าแตงทั้งหลาย อาทิ แตงโมและ แคนตาลูป ซึ่งมีส่วนประกอบของน้ำสูงถึง 95% จึงสามารถทดแทนน้ำในร่างกายที่สูญเสียไปเนื่องจากอากาศร้อนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังอุดมด้วยโปแตสเซียม โดยเฉพาะแคนตาลูปซึ่งถือเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอีกประเภทหนึ่ง เพราะนอกจากจะมีโปแตสเซียมสูงกว่าแตงโมถึง 3 เท่าแล้ว สีส้มของแคนตาลูปยังมีสารเบตาแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายไม่ให้รับผลกระทบจากรังสีอุ ลตร้าไวโอเล็ตอีกด้วย

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

  อันดับ 2 : ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

          ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ จัดเป็นผลไม้รสอร่อยประจำฤดูร้อน มีส่วนผสมของน้ำและสารประกอบทางธรรมชาติสำหรับรักษาอาการปวดบวมอักเสบ ซึ่งสารดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของยาแอสไพริน ดังนั้น การบริโภคเบอร์รี่รสหวานฉ่ำอร่อยเลิศ จึงช่วยลดอาการอักเสบและช่วยถอนพิษจากการเผาไหม้ของแสงแดดฤดูร้อนได้เป็น อย่างดี

ผักโขม

  อันดับ 3 : ผักโขม

          ผักโขม ให้คุณประโยชน์หลัก 2 ประการ ประการแรก...ผักขมและผักใบเขียวนอกจากจะอุดมไปด้วยน้ำ ยังเป็นแหล่งสะสมของแมกนีเซียม หนึ่งในแร่ธาตุที่เราสูญเสียไปพร้อมกับเหงื่อที่ถูกขับออกจากร่างกาย นอกจากนี้ ใบสีเขียวเข้มของผักขมยังมีสารลูติน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จึงช่วยปกป้องผิวและสายตาจากการถูกทำลายจากแสงแดด

พริกไทย
  อันดับ 4 : พริกไทย

          พริกไทย อาจเป็นตัวเลือกอันดับสุดท้ายสำหรับหลายๆ คนที่จะนำมาบริโภคในช่วงอากาศร้อน แต่ในความเป็นจริงเราจะพบว่าพริกไทยที่เผ็ดร้อนสามารถกระตุ้นให้เกิดการขับ เหงื่อออกจากร่างกาย ซึ่งเมื่อเหงื่อระเหยออกจากผิวจะทำให้เกิดความรู้สึกเย็นสบายแก่ร่างกายของ เราได้อย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนี้ พริกไทยยังมีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นสารต้นอนุมูลอิสระอีกตัวหนึ่งที่ช่วยปกป้องผิวจากการถูกคุกคามของ แสงแดดและหากคุณยังรู้สึกร้อนระอุ ลองบริโภคอาหารรสจัดและมีกลิ่นฉุนอย่างกระเทียมสดและขิง ซึ่งมีคุณสมบัติในการขับเหงื่อเหมือนกัน ก็จะช่วยให้คุณรู้สึกสบายขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ...
         
          แม้ว่าผลไม้และผักจะมีส่วนประกอบของน้ำในปริมาณมาก แต่ไม่ควรบริโภคเพราะผลไม้และผักแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำในหน้าร้อน ควรดื่มน้ำมากๆ และพยายามอย่าให้เกิดความรู้สึกกระหาย เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายของคุณสั่งให้คุณดื่มเครื่องดื่ม นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณมีอาการค่อนข้างขาดน้ำ เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬาจึงเป็นทางเลือกที่ดีอีกตัวหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่คุณออกกำลังกายในสภาพอากาศร้อนขึ้น เกลือแร่จะช่วยดูดซับความชุ่มชื้นให้แก่ร่างกายได้สูงสุด

          การดื่มเครื่องดื่มที่เหมาะสมร่วมกับการบริโภคผักและผลไม้สดในปริมาณมากจะ ช่วยทำให้คุณคลายร้อนได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยทดแทนน้ำ และเกลือแร่ที่สูญเสียจากการขับเหงื่อของร่างกาย นอกจากนี้ ผักและผลไม้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายจากการคุกคามของแสง แดด ทำให้คุณคลายร้อนและรู้สึกเย็นกายสบายใจท่ามกลางอุณหภูมิของอากาศอันร้อน ระอุ...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

2554/04/30

ผิวเต่งตึงด้วยผักรสขม

ใครเลยจะคิดว่าผักขมๆ อย่างบัวบกและขี้เหล็กจะช่วยบำรุงผิวพรรณได้ วันนี้ปั้นสวยด้วยมือคุณ ไปค้นหาสูตรเด็ดที่หลายคนยังไม่เคยได้ยินมาฝาก รับรองว่าทำแล้วไม่มีอันตรายใดๆค่ะ เพราะผักสองชนิดนี้ขึ้นชื่อว่ามีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรอยู่แล้ว สรรพคุณที่ว่านั้นคืออะไร และสูตรบำรุงผิวมีส่วนผสมอะไรบ้างโปรดติดตามค่ะ

บัวบก+ขี้เหล็ก รสขมดีต่อผิว

ในบรรดาผักทั้งหลาย คาดว่าหลายคนคงจัดบัวบกและขี้เหล็กไว้ในลำดับท้ายๆของผักที่ชื่นชอบ เพราะรสขมของผักทั้งสองชนิด ทำให้เป็นผักที่ทานยากอยู่สักหน่อย โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ชอบทานผักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ลองมาฟังประโยชน์ของผักรสขมกันหน่อย เผื่อจะทำใจให้ชอบขึ้นมาได้บ้างค่ะ



เริ่มจากบัวบก ซึ่งนำมาใช้บำบัดอาการเกี่ยวกับสมองมาเป็นเวลานาน และให้ผลค่อนข้างดี จนได้ชื่อว่าเป็น "อาหารสมอง" อีกอย่างหนึ่ง เพราะคนสมัยก่อนเชื่อว่าการรับประทานบัวบกจะช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรองให้กับสมอง ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงาน ทั้งในแง่ของกำลังกาย และกำลังสมอง ทั้งยังช่วยควบคุมความดันโลหิตให้ปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่ ช่วยกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอย่างอ่อน

จากการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก พบว่าจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation) ซึ่งช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ รวมทั้งยังอุดมด้วยวิตามินต่างๆ

นอกจากนี้ยังพบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลเร่งการสร้างสาร คอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิว จึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้นระงับการเจริญ เติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดหนองและลดการอักเสบ มีรายงานการค้นพบฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา อันเป็นสาเหตุของโรคกลาก ปัจจุบัน มีการพัฒนายาบัวบกชนิดครีม ให้ทารักษาแผลอักเสบจากการผ่าตัด




ส่วนขี้เหล็ก ซึ่งส่วนใหญ่นิยมนำมาแกง ขึ้นชื่อลือชาทางสรรพคุณรักษาอาการท้องผูก และอาการนอนไม่หลับได้ดี ทั้งยังช่วยถอนพิษไข้ แก้เสมหะ และแก้รังแค ใบและดอกขี้เหล็ก มีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านให้พลังงาน เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เบต้า-แคโรทีน และวิตามินชนิดต่างๆ โดยเฉพาะดอกตูมมีวิตามินเอ และวิตามินซี ค่อนข้างสูง

ดังนั้น การนำผักรสขมทั้งสองชนิดมาเป็นสูตรบำรุงผิวหน้า ก็ด้วยเห็นข้อดีเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการช่วยระงับเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์  และประโยชน์จากวิตามินที่มีอยู่มากมาย โดยเฉพาะวิตามินซีซึ่งช่วยผลัดเซลล์ผิวให้สดใสขึ้น

สำหรับสูตรพอกหน้าที่นำมาแนะนำ  มี 3 สูตร คือ

สูตรที่ 1 ผิวสดชื่นด้วยบัวบก

ส่วนผสม
  • ใบบัวบก 1 กำมือ
  • น้ำสะอาดเล็กน้อย
วิธีทำ
  1. นำใบบัวบกมาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นรวมกับน้ำสะอาดจนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียว
  2. ล้างหน้าให้สะอาด แล้วพอกทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกว่าผิวหน้าสดชื่นขึ้น ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง

สูตรที่ 2 ผิวเต่งตึงด้วยขี้เหล็ก

ส่วนผสม
  • ยอดขี้เหล็ก 1/2 ถ้วย
  • น้ำผึ้งแท้ 1/2 ถ้วย
  • ยอดมะขาม 1/2 ถ้วย
วิธีทำ
  1. นำยอดขี้เหล็กและยอดมะขามมาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นรวมกับน้ำผึ้งแท้จนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน  จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียว
  2. ล้างหน้าให้สะอาด แล้วพอกทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกว่าผิวหน้าเต่งตึงขึ้น ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
*** เนื้อครีมที่เหลือสามารถเก็บในตู้เย็น ไว้ใช้ครั้งต่อไปได้

สูตรที่ 3 ผิวนวลเนียนด้วยขี้เหล็ก

ส่วนผสม
  • ใบและยอดขี้เหล็ก 1 ถ้วย
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • นมสด (เล็กน้อย)
วิธีทำ
  1. นำใบและยอดขี้เหล็กมาล้างน้ำให้สะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นรวมกับไข่ไก่ และนมจนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน  จะได้เป็นเนื้อครีมข้นและเหนียว
  2. ล้างหน้าให้สะอาด แล้วพอกทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกว่าผิวหน้าสดชื่นขึ้น ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
*** เนื้อครีมที่เหลือสามารถเก็บในตู้เย็น ไว้ใช้ครั้งต่อไปได้

คราวนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป ที่จะลองมาใช้ผักขมๆพอกหน้าดูบ้างค่ะ

Tip

  1. ใช้ใบบัวบกรักษาอาการเนื่องจากแมลงกัดต่อย โดยใช้ใบขยี้แล้วทา
  2. ใช้ใบบัวบกรักษาแผลสด ด้วยการตำให้ละเอียด พอกแผลวันละ 2 ครั้ง จะช่วยสมานแผล ระงับเชื้อแบคทีเรีย
  3. เมื่อนำใบขี้เหล็กมาบ่มรวมกับผลไม้จะช่วยทำให้ผลไม้สุกเร็วขึ้น
ที่มา ชีวจิต

2554/04/29

สูตรแก้หวัด

หัวหอมรักษาโรคหวัด

 

หัว หอมแดงนั้น สามารถรักษาโรคหวัดได้ มีหลายวิธีดังนี้ วิธีแรกคือทานสดๆ เลย โดยนำหัวหอมแดง ซอยเป็นแว่นบางๆ แล้วทาน วิธีที่สอง เอาหัวหอมมาทุบ แล้วสูดดมบ่อยๆ วิธีที่สาม รมไอน้ำ โดยต้มน้ำให้เดือด เอาหอมแดง ทุบพอแหลกใส่ลงหม้อ ปิดฝาหม้อให้เดือดต่ออีก5 นาที ยกหม้อลง เอาผ้าคลุมหัวและหม้อไว้ ค่อยๆ เปิดฝาหม้อสูดไอ จนกระทั่งหมดไอ

ดอกแคแก้หวัด

 

 ยอด แค มีเบต้าแคโรทีนสูงมาก ส่วนตัว ดอกแค ก็มีวิตามินซี ซึ่งช่วย แก้อาการหวัด ได้ดี แถมยังทำให้ ผิวสวย อีกด้วย ดอกแคมีรสขมเฝื่อน จะกินสดๆไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ต้องนำไปลวกโดยใช้เวลาสั้นที่สุด อย่าลืมดึงเกสรออกก่อนนะคะ เพราะเป็นส่วนที่ขมที่สุดค่ะ

ที่มาของข้อมูล : bkkmenu

2554/04/28

ลดกลิ่นปาก ด้วย "ผัก"

ปัญหา กลิ่นปาก สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ปัจจุบันก็ยังคงมีน้ำบ้วนปากต่าง ๆ มากมายหลายหลากยี่ห้อ แต่วันนี้เราจะมาแนะนำวิธี ลดกลิ่นปากด้วยผักที่ใกล้ตัวและคุณอาจคาดไม่ถึง วิธีก็สุดแสนทำง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเองค่ะรับรองว่าคุณภาพไม่แพ้น้ำยาบ้วนปากยี่ห้อต่าง ๆ แน่นอน

วิธี ลดกลิ่นปาก


การกินอโวคาโดเป็นวิธีง่าย ๆ อย่างหนึ่งค่ะที่ช่วยลดปัญหานี้ได้ เพราะเนื้อของอโวคาโดจะช่วยกำจัดอาหารที่เน่าเสียตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ซึ่ง เป็นสาเหตุสำคัญของกลิ่นปากให้หมดไป

นอกจากนี้ก็อยากให้ลองน้ำยาบ้วนปากสูตรเปรี้ยวซ่าแบบธรรมชาติดังต่อไปนี้ ส่วนผสมก็ไม่ยุ่งยากค่ะ มี

- น้ำคั้นจากขิงสด 1 ช้อนชา
- น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
- น้ำอุ่น 1 แก้ว

ผสมให้เข้ากัน กลั้วปากวันละครั้ง หลังแปรงฟันในตอนเช้า




ส่วนเรื่องการปรับระบบขับถ่ายให้สมดุลนั้น ตัวช่วยที่ดีที่สุดก็คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สุขภาพดีต้องดูแลจากภายในค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ชีวจิต

ผักคราดหัวแหวน อร่อยมีสรรพคุณ

ผักคราดหัวแหวน


ผักคราดหัวแหวน หรือ SPILANTHES AEMELLA MURR อยู่ในวงศ์ COMPO-SI TAE เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรง สูง 20-30 ซม. หรือทอดไปตามหน้าดินเล็กน้อยแต่ปลายจะชูขึ้น ลำต้นกลม อวบน้ำ เป็นสีม่วงปนสีเขียว หรือสีแดงเข้ม ลำต้นอ่อนมีขนปกคลุม ต้นเป็นข้อปล้อง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามบริเวณข้อใบเป็นรูปสามเหลี่ยม ขอบใบหยักพับ ก้านใบยาว ผิวใบสากมือ มีขน สีเขียวสด
ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง ลักษณะดอกเป็นกระจุกสีเหลือง ปลายดอกแหลมคล้ายหัวแหวน จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะดอกว่า “ผักคราดหัว-แหวน” ดอกย่อยมี 2 วง วงนอกเป็นตัวเมีย วงในเป็นดอกสมบูรณ์เพศ เวลามีดอกจะดูแปลกตามาก
ผล รูปไข่ มีเมล็ด ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ปักชำต้น โดยจะมีรากงอกออกมาบริเวณข้อ สามารถตัดเอาช่วงดังกล่าวไปปักชำได้เลย มีชื่อเรียกอีกคือ ผักคราด, ผักตุ้มหู, หญ้าตุ้มหู, ผักเผ็ด ชาวจีนแต้จิ๋วเรียกผักชนิดนี้ว่า “อึ้งฮวยเกี้ย” นิยมปลูกแพร่ หลายตามสวนยาจีน สวนยาไทย มีต้นวางขายเป็นผักสดให้คนซื้อไปรับประทานตามแผงขายผักพื้นบ้านทั่วไป ราคากำละไม่เกิน 10 บาทครับ.
คนรุ่นใหม่ น้อยคนนักจะรู้จักหรือเคยรับประทาน “ผักคราดหัวแหวน” ซึ่งผักชนิดนี้เป็นผักพื้นบ้าน นิยมรับประทานกันมาแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดแล้ว โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเอาทั้งต้นกินเป็นผักสดกับป่นปลา แจ่ว ซุบขนุน ซุบเห็ด ซุบหน่อไม้ หรือใส่แกงหน่อไม้ แกงอ่อมปลา เนื้อ หรือหมู ดับกลิ่นคาวได้ดีมาก รสชาติหอมเผ็ดปร่าชาลิ้นอร่อยมาก โดยเฉพาะดอกจะมีรสเผ็ด ใบรสหวานปนขมและเย็น เมื่อปรุงกับอาหารจะชวนให้รับประทานมาก คนโบราณนิยมเอาใบสดเคี้ยวแก้ปวดฟัน เป็นยาชาได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม “ผักคราดหัวแหวน” นอกจากจะใช้ปรุงเป็นอาหารและกินสดกับน้ำพริกชนิดต่างๆ ได้อร่อยตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว ทั้งต้นยังมีสรรพคุณทางสมุนไพรอีกด้วย โดยนำไปสกัดทำเป็นยาชา มีสรรพคุณแก้พิษตามทวาร แก้ริดสีดวงทวาร แก้ผอมเหลือง แก้เด็กตัวร้อน ต้นสดตำผสมเหล้า 40 ดีกรี หรือน้ำส้มสายชูอมแก้ฝีในคอ ต่อมน้ำลายอักเสบดีมาก แก้ไข้ แก้ปวดฟัน ทั้งต้นรสเผ็ดร้อนช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับลม และช่วยย่อยอาหารได้
นายเกษตร




2554/04/27

ใบกระเพรากระตุ้นรัก


 
ใครทราบบ้างว่า ใบกระเพรา สามารถ กระตุ้นรัก ได้ วันนี้มีความรู้เรื่องนี้มาฝากกันค่ะ... 
 

ต้นกระเพรา สมุนไพรไทยที่คุ้นเคยกันดี มีกลิ่นหอมฉุน อร่อยมากเมื่อนำมาผัดกะเนื้อหมูหรือไก่ และยังมีอีกความลับ (สุดยอด) อีกนิดที่ไม่มีใครรู้ ซึ่งใช้กันแพร่หลายในประเทศอินเดีย กล่าวกันว่า
ในประเทศอินเดีย หากโรย ใบกระเพรา แห้ง (กระเพราแดง จะมีกลิ่นฉุนกว่า กระเพราเขียว) ลงบนถ่านติดไฟแดงรุม ๆ ล่ะก็ หากหนุ่มสาวสูดดมกลิ่มเข้าไป จะช่วยเร้าอารมณ์ให้เกิดกามตัณหารุนแรงขึ้น เพราะฉะนั้นในพิธีงานแต่งงานของชาวอินเดียจึงนิยม โรย ใบกระเพรา แห้งลงบนถ่านไฟในตระกร้าถ่าน ให้กลิ่น กะเพรา โชยชวน จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม ประเทศอินเดียจึงมีประชากรมากมายนัก
นอกจากกลิ่นนี้จะส่งกลิ่นไปยังคู่บ่าวสาวแล้วยัง ส่งผลไปถึงแขกที่มางานด้วย...
 

ข้อมูลและภาพโดย

2554/04/26

ผักปลูกในเมืองสะสมตะกั่วในระดับอันตราย



เอ เอฟพี - งานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์อเมริกันระบุ ผักและสมุนไพรที่ปลูกในเมือง อาจสะสมสารพิษอย่างตะกั่ว ในระดับที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

การศึกษาของนักวิจัย จากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสต์เทิร์นยูนิเวอร์ซิตี ที่ชิคาโก สหรัฐฯ ซึ่งจะถูกตีพิมพ์ในวารสารนิวไซแอนทิสต์ ฉบับวันเสาร์ที่จะถึงนี้ (8) ทำการทดสอบผักและสมุนไพรที่ปลูกในเมือง จำนวน 17 ชนิด

พวกเขาพบว่า ระดับสารตะกั่วในหัวหอมและหัวไชเท้าแดงซึ่งถูกทำให้แห้งนั้น มักจะสูงเกิน 10 ไมโครกรัมต่อกรัม และตัวเลขนี้ยิ่งสูงขึ้นในพืชประเภทใบบางชนิด อาทิ รูบาร์บ ส่วนผักชีแห้งนั้น มีระดับตะกั่วสูงกว่า 39 ไมโครกรัมต่อกรัม

ทั้ง นี้คณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) กล่าวว่า ระดับตะกั่วที่ร่างกายจะรับได้อย่างปลอดภัย คือ 15 ไมโครกรัมต่อกรัมต่อวัน สำหรับเด็ก และ 75 สำหรับผู้ใหญ่

งานวิจัยนี้ได้ตีพิมพ์ไปในแล้วในวารสารเฉพาะทาง เดอะไซน์ออฟเดอะโททอลเอ็นวิรอนเมนท์

แหล่งที่มา »  ผู้จัดการ

2554/04/24

ริ้วรอยแตกลาย ลบได้ด้วย ว่านหางจระเข้




ใครที่มีปัญหาริ้วรอยแตกลาย ทำให้เกิดความไม่มั่นใจวันนี้เรามีวิธีดีๆ มาแนะนำกันค่ะ

ริ้วรอย อาจเกิดขึ้นมาจากการคลอดบุตรหรือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว และโดยเฉพาะกับสาวๆ ที่อายุยังน้อยแล้วเกิดปัญหาหน้าท้อง น่อง สะโพกลายกันได้

วิธีทำง่ายๆ คือ ให้ใช้วุ้นสีขาวจากว่านห่างจระเข้ที่ล้างยางออกแล้วมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็น ประจำทุกเช้า เย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อยๆ จางลงได้ เพิ่มความมั่นใจให้ อวดผิวสวยได้อย่างมั่นใจ

แต่ถ้าหากไม่มีว่านหางจระเข้ก็สามารถใช้ใบบัวบกแทนได้ โดยการนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า – เย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อยๆ จางลงได้เช่นกัน


ขอบคุณข้อมูลจาก
innnews
เครดิต http://variety.teenee.com/foodforbrain/33898.html

2554/04/23

การควบคุมแมลงศัตรูพืชแบบอินทรีย์ Organic



ก่อนอื่นต้องมาดูหลักการควบคุมแมลงศัตรูพืชผักโดยใช้สารสกัดจากพืชใน ธรรมชาติเสียก่อน โดยจำเป็นต้องรู้จักเกี่ยวกับสารเคมีในธรรมชาติว่า มีผลดีผลเสียอย่างไร แล้วนำมาปรับปรุงใช้ร่วมกันโดยไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียต่อร่างกายและผลผลิต ด้านการเกษตร

สารเคมีในธรรมชาติส่วนใหญ่ ที่เกี่ยวข้องกับการทำเกษตรออแกนิค หรือเกษตรอินทรีย์ มีดังนี้

นิโคติน (Nicotine) เป็นสารเคมีธรรมชาติที่พบในใบยาสูบใช้ป้องกันกำจัดแมลงพวกปากดูด เช่น เพลี้ย มวน ฯลฯ และใช้เป็นยารมกำจำแมลงในเรือนเพาะชำ

ทีโนน (Rotenone) เป็นสารเคมีในธรรมชาติสกัดมาจากต้นใต้ดินและรากของต้นหางไหล หรือโล่ติ้น หรือดวดน้ำ นอกจากนั้นยังสามารถสกัดได้จากรากและต้นของต้อนหนอนตายยาก (Stemona) และจากใบและเมล็ดของมันแกว มนุษย์ใช้สารโรทีโนนจากโล่ติ้น เป็นยาเบื่อปลามาตั้งแต่สมัยโบราณมีพิษน้อยต่อสัตว์เลือดอุ่น รากป่นแห้งของต้นหนอนตายอยาก สามารถกำจัดแมลงในล้าน ได้แก่ เรือด หมัด ลูกน้ำยุง และหนอนแมลงวัน และกำจัดแมลงศัตรูพืชได้แก่ ด้วงเจาะเมล็ดถั่ว หนอนกระทู้ผัก หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนใยผัก แมลงวันแตง เพลี้ยอ่อนฝ้าย หนอนกะหล่ำ หนอนแตง เป็นต้น สารทีโนนนี้เป็นสารที่มีพิษต่อระบบหายใจของสิ่งมีชีวิต แมลงที่ถูกสารนี้จะมีอาการขาดออกซิเจน เป็นอัมพาต และตายในที่สุด

ไพรีทริน (Pyrethrin) เป็นสารเคมีธรรมชาติที่มนุษย์สกัดได้จากดอกแงของไพรีทรัม ซึ่งมีสีขาวอยู่ในวงศ์ Compositae (ตระกูลเก๊กฮวยม,เบญจมาศ) ชอบขึ้นและเจริญเติบโตได้ดีในที่มีอากาศเย็น สารไพรีทรินเป็นสารฆ่าแมลงประเภทถูกตัวตาย ซึ่งเป็นพิษต่อระบบประสาทของแมลง โดยเข้าไปสกัดประจุโซเดียมบนผิวของเส้นประสาท ทำให้ระบบไฟฟ้าของเส้นประสาทหยุดชะงัก ทำให้แมลงสลบโดยทันทีและตานในที่สุด ไพรีทรินมีอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่นน้อยมากเนื่องจากสลายตัวได้รวด เร็วในร่างกายของคนและสัตว์เลี้ยง คนที่แพ้อาจมีอาการคล้ายคนเป็นโรคหอบหืด ไม่มีพิษตาค้างสลายตัวได้ดีในสิ่งแวดล้อม สารเคมีสังเคราะห์คล้ายพวกไพรีทรินทมีหลายชนิดที่มีคุณสมบัติในการกำจัดแมลง ศัตรูพืชคือ เพลี้ยอ่อน หมัดกระโดด ตั๊กแตน หนอนผีเสื้อกะหล่ำ หนอนกะหล่ำใหญ่ เพลี้ยจักจั่นฝ้าย หนอนเจาะมะเขือ และ หนอนแมลงงันเจาะต้นถั่ว
สะเดา (Azadiracgta indica) สารฆ่าแมลงมีในทุกส่วนของต้นสะเดาแต่จะมีมากที่สุดในเมล็ด แมลงที่สารสะเดาสามารถควบคุมและกำจัดได้คือ ด้วงงวงข้าวโพด หนอนเจาะสมอฝ้าย เพลี้ยอ่อนทั่วไป เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล หนอนใยผัก หนอนกระทู้ ด้วงหมัด เพลี้ยจั๊กจั่นสีเขียว หนอนแมลงวันชอนใบ ไรทั่วไป เพลี้ยกระโดดหลังขาว แมลงหวี่ขาว เต่ามะเขือ หนอนเจาะยอดกะหล่ำ เป็นต้น สารออกฤทธิ์ของสะเดาได้ แก่ azadirachtin,Salannin,Meliantriol และ Nimbin ซึ่งจะหมดฤทธิ์ในสภาพที่มีแดด ซึ่งมีรังสีอัลตราไวโอเล็ต จึงควรใช้สารสะเดากับพืชเวลาเย็น หรือตอนกลางคืน สารสะไม่เป็นอันตรายต่อแมลงพวกต่อ แตน ผึ้ง สัตว์เลือดอุ่น และมนุษย์ การใช้บดเมล็ดสะเดาให้ละเอียด ห่อด้วยผ้าขาวบาง แช่น้ำ 1 คืน ด้วย อัตราการใช้ผงสะเดา 25-30 กรัม/ลิตร หรือเมล็ดสะเดาบด 1 กิโลกรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร แช่น้ำเป็นเวลา 1-2 คืน แล้วกรองเอากากออก ใช้ฉีดพ่นป้องกันกำจัดแมลงได้ โดยนำไปฉีดพ่นเพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืชได้เลย ควรผสมยาจับใบทุกครั้งที่มีการฉีดพ่น

http://www.kasetorganic.com

2554/04/21

วิธีทำสบู่สมุนไพรไทยเดิม ทำง่าย ประหยัดตังค์!






สูตรสบู่ สมุนไพรขมิ้นชันจากชาววัง
สูตรนี้เป็นการนำเอาเหง้าของขมิ้นชันมาผสมผสานเข้าไปในเนื้อของสบู่ที่ทำ ขึ้น การนำเอาเหง้าขมิ้นชันมาเป็นส่วนผสมสำคัญของสมุนไพรนี้ สืบทอดองค์ความรู้ที่สะสมมาจากบรรพบุรุษไทยเรา การเอาเหง้าขมิ้นชันมาเป็นยาธรรมชาติบำรุงผิวพรรณ ช่วยสร้างความสะอาดหมดจดแก่ผิวหนังของคนเรา สร้างความนุ่มนวลและขจัดความหม่นหมองของผิวกาย ฆ่าเชื้อรา เชื้อโรค ที่มาอยู่กับผิวหนังให้หมดไป สร้างความสดชื่นให้เกิดขึ้น สบายเนื้อสบายตัวอย่างดีมาก สบู่สมุนไพรขมิ้นชันจึงมีคุณภาพที่ดีเยี่ยมอีกอย่างหนึ่ง

ส่วนผสมของสบู่สมุนไพรขมิ้นชัน จากชาววัง

* น้ำสมุนไพรเหง้าขมิ้นชันข้มข้น 450 กรัม
* โซเดียมไฮดรอกไซด์บริสุทธิ์ 180 กรัม
* น้ำมันมะพร้าว 360 กรัม
* น้ำมันมะกอก 630 กรัม
* น้ำมันรำข้าว 420 กรัม

วิธีทำสบู่สมุนไพรขมิ้นชัน จากชาววัง

* เริ่ม ต้นจากการนำเอาน้ำมันมะพร้าวมารวมกับน้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว มาผสมรวมกันทั้งหมดในภาชนะ คนให้ละลายรวมเข้าด้วยกันทั้งหมด จึงเอาไปต้มจนกระทั่งอุณหภูมิความร้อน 100 องศาฟาเรนไฮต์ ยกเอาลงมาพักไว้ก่อน
* ต่อ มาก็เอาโซเดียมไฮดรอกไซต์อย่างระมัดระวังอย่างมาก เพราะเป็นด่างที่เข้มข้นร้อนแรงมาก เอาโซเดียมไฮดรอกไซต์ค่อย ๆ ใส่ลงไปในภาชนะสเตนเลสสตีลที่มีน้ำสมุนไพรขมิ้นชันเข้มข้นทีละเล็กที่ละน้อย คนให้ละลายเข้าด้วยกันทั้งหมด
* ลำดับ ต่อมาเอาโซเดียมไฮดรอกไซต์ที่ผสมกับน้ำสมุนไพรขมิ้นชันเข้มข้นมาค่อย ๆ เทลงไปในน้ำมันที่ผสมรวมกันอยู่ คนให้เข้าด้วยกัน คนให้เข้ากันให้ดีที่สุด เมื่อรวมตัวกันอย่างดีแล้วจะสังเกตุเห็นว่ามีลักษณะที่เหนียวข้นมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือเนื้อสบู่สมุนไพรนั่งเอง
* เอามาเทในแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้ ถ้าทำใช้เองไม่ต้องมีแม่พิมพ์ก็เอามาใส่ลงไปในถาด แล้วเอามาตัดเป็นก้อนเป็นแผ่นทีหลัง
* ปล่อย เอาไว้เฉย ๆ ในห้องที่มีอุณหภูมิตามธรรมดาประมาณ 1 วัน 1 คืน หรือประมาณ 24 ชั่วโมง จึงเอาออกมาจากแม่พิมพ์ได้ เอาวางเรียงไว้เฉย ๆ หาอะไรคลุมไว้ด้วยเพื่อไม่ให้กลิ่นหอมของของขมิ้นชันระเหิดออกไปมาก และจะต้องปล่อยทิ้งเอาไว้ประมาณ 45วัน เพื่อให้เนื้อสบู่แข็งตัวคงที่นั่งเอง
* นำสบู่ที่ได้มาห่อด้วยกระดาษแก้วหรือพลาสติก หรือใส่กล่องพร้อมใช้

ข้อควรระวังและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการทำ
สบู่สมุนไพรขมิ้นชัน จากชาววัง

* การ ทำสบู่สมุนไพรขมิ้นชัน ควรระมัดระวังในเรื่องของการเอาโซเดียมไฮดรอกไซต์มาผสมกับน้ำ เพราะจะเกิดความร้อนแรงพลุ่งพล่านจนน้ำเดือดขึ้นมา เนื่องจากโซเดียมไฮดรอกไซต์มีฤทธิ์เป็นด่างอย่างแรงมากนั่งเอง ค่อย ๆ ผสมที่ละเล็กที่ละน้อย อย่าทำด้วยความประมาณหรือไม่ระมัดระวังตัวเอง หรือเด็กที่อยู่ใกล้ ๆ สารเคมีตัวนี้ และควรเก็บให้ห่างจากเด็ก ๆ
* ควร สวมถุงมือยางป้องกัน และสวมรองเท้ายางหุ้มมาถึงแข้งป้องกันเอาไว้ ต้องปิดปากและจมูกด้วยหน้ากากป้องกันกลิ่นและไอระเหยที่ออกมาจากสารเคมีอัน เป็นด่างอย่างแรงนี้ด้วย ควรสวมแว่นตาเอาไว้ด้วย เพื่อป้องกันการกระเด็นของสารเคมีที่อาจจะเกิดขึ้น
* ต้อง เอาขวดน้ำส้มสายชู ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดวางไว้ใกล้ ๆ เพื่อใช้การได้ทันทีทันใด ถ้าโซเดียมไฮดรอกไซต์กระเด็นมาสัมผัสผิวกายหรือหกรดราดไปที่เท้า ขา แขน ฯลฯ หากเกิดอันตรายเช่นนี้ขึ้นมา ต้องรีบเอาน้ำส้มสายชูกลั่นนี้ราดลงไปในบริเวณที่ถูกสารเคมีอันมีฤทธิ์เป็น ด่างอย่างแรงทันทีเพื่อขจัดอาการร้อนแรงนั้นลง
* หลังจากการใช้น้ำส้มสายชูแล้ว หากปวดแสบปวดร้อนมาก ควรรีบไปหาแพทย์ในทันที


วิธีการทำน้ำขมิ้นชันเข้มข้น
นำเหง้าขมิ้นชันมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ให้ได้ปริมาณ 500 กรัม ล้างให้สะอาดแล้วใส่ลงไปในน้ำสะอาด 7 ถ้วยตวง นำไปต้มเคี่ยวจนเหลือน้ำสมุนไพรขมิ้นชันที่เข้มข้นเพียง 2 ถ้วยตวง เราก็จะได้น้ำขมิ้นชันเข้มข้นพร้อมที่จะนำไปผสมการทำสบู่

สรรพคุณของขมิ้นชัน
ขมิ้นชันเป็นพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมใช้กันมาช้านานแล้วและนำมาแปรรูป เป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพต่าง ๆ อย่างมากมาย ทั้งในรูปแบบของยา ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สีผสมอาหาร สีย้อมผ้าและเตรื่องสำอาง ตลอดจนผลิตภัณฑ์ของน้ำมันหอมระเหย และยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง เช่น ฤทธิ์ในการช่วยรักษาอาการอาหารไม่ย่อย ลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดการอักเสบ ฯลฯ ทำให้สมุนไพรนี้ได้รับความสนใจทั้งจากชาวไทยและต่างประเทศอย่างมาก

แนะนำเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ขมิ้นชัน พืชน้ำมันหอมระเหยที่มีศักยภาพของไทย
มหัศจรรย์สมุนไพรกลิ่นหอมธรรมชาติสู่กลิ่นบำบัดในอโรมาเทอราปี

เรียบเรียงสูตรและวิธีการทำ
สบู่สมุนไพรขมิ้นชัน จากชาววัง
โดยกองบรรณาธิการ
www.YesSpaThailand.com

2554/04/20

พืช ผัก อาหารเสริม วิตามินและสมุนไพรสำหรับรักษาโรคเส้นเลือดขอดและริดสีดวง

ปัจจุบันคนไทยส่วนมากมีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับ
เส้นเลือดขอดและริดสีดวงทวาร ทั้งนี้เนื่องจาก
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินอาหารที่นิยม
อาหารพวกฟาสฟูดที่มีเส้นใยอาหารน้อย ทำให้เกิด
ความผิดปกติของระบบขับถ่าย คือไม่ค่อยถ่ายหรือหลาย
วันถึงจะถ่าย อาชีพที่ทำเช่นเป็นพนักงานขายในห้าง
ร้านค้า หรือพ่อครัวแม่ครัว ที่ต้องยืนในการทำงานส่วนมาก
ทำให้นำหนักเลือดหนักขึ้น จนปั้มกลับไม่ขึ้นหัวใจเกิดเป็น
เส้นเลือดขอด พืช ผัก อาหารเสริม วิตามินและสมุนไพร
ที่จะแนะนำให้รู้จักเพื่อรักษาโรคเส้นเลือดขอดและ
ริดสีดวงได้แก่
-ลูกเกาลัด สับปะรดและใบบัวบก มีสารเอ็นไซม์"Bromelain"
ที่ป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวเป็นก้อนที่ขาและทวาร
-ควรรับประทาน อาหารเสริม วิตามินซีและกระเทียม
เพื่อป้องกันเส้นเลือดเปราะ วิตามินอี วิตามินบีรวม
และใบแปะก้วยเพื่อให้เลือดไหลเวียนสะดวกขึ้นและ
ไม่เกาะตัวเป็นเกล็ดเม็ดเลือดและสารธาตุทองแดง
ซึ่งร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยใหโมเลกุล
เนื้อเยื่อเกาะตัวกันติดแน่นขึ้น
เอกสารอ้างอิง
-วิชัย คงสุวรรณ"วิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็น"2544,หน้า 123

2554/04/17

น้ำดื่มสมุนไพรไทยคลายร้อน

'ตรีผลา' สูตรสมุนไพรต้านชรายับยั้งมะเร็ง

 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า จากการสำรวจสมุนไพรที่มีการจดแจ้งทะเบียนตำรับยาทั่วประเทศ พบว่ามีสมุนไพร 1,927 ตำรับ ที่มีสรรพคุณใช้ในการรักษาโรคมะเร็งทั้งมะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งปากมดลูกมะเร็งปอด จึงสั่งการให้คัดเลือกสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษามะเร็งทั้งหมดเพื่อแยก ออกเป็นกลุ่มๆ ว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งชนิดใดได้บ้าง

จาก นั้นจะมีการเชิญผู้รู้มาสังคายนาสมุนไพร เพื่อพิจารณาในส่วนของสมุนไพรแต่ละกลุ่มว่ามีสรรพคุณรักษามะเร็งได้จริงหรือ ไม่ โดยคาดว่าจะมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาประชุมภายใน 1-2 เดือนนี้ ซึ่งจะเริ่มพิจารณาจากสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านมก่อน เพราะจากการพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกลุ่มที่ใช้สมุนไพรไม่ซับซ้อน และจะใช้ประโยชน์ได้ดี และเมื่อมีการพิจารณาสมุนไพรทุกกลุ่มเสร็จแล้ว ก็จะมีการพิจารณาว่ามีชนิดใดบ้างต้องขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา (อย.) ต่อไป

 พญ.วิลาวัณย์กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการนำสมุนไพรมารักษาโรคมะเร็งเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติก็เริ่มเปิดใจ และยอมรับ ซึ่งทางกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ก็มีการส่งเสริมสมุนไพรที่ผ่านการวิจัยรับรองแล้วว่ามีสรรพคุณที่จะรักษา มะเร็งได้จริงด้วย ซึ่งในขณะนี้ก็กำลังส่งเสริมให้มีการดื่มน้ำตรีผลา เนื่องจากพบว่าเป็นสูตรสมุนไพรที่มีประโยชน์มาก โดยมีส่วนผสมจากสมุนไพร 3 ชนิด คือ มะขามป้อมสมอไทย และสมอพิเภก ซึ่งสรรพคุณของตรีผลานี้จะช่วยในการเสริมภูมิต้านทาน เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นหวัดบ่อยๆ ทั้งยังมีสรรพคุณในการชะลอความชราด้วย ที่สำคัญยังพบว่าตรีผลา มีสรรพคุณในการยับยั้งและต้านเซลล์มะเร็งได้ รวมทั้งในกรณีที่หากเกิดเซลล์มะเร็งขึ้นมาแล้ว ยังมีผลทำให้เซลล์มะเร็งโตช้าอีกด้วย เรื่องนี้ยืนยันได้จากผลวิจัยทั้งของคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 "สำหรับผู้ที่สนใจน้ำตรีผลาสามารถนำไปต้มดื่มเองได้ โดยตวงสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดอัตราส่วน สมอพิเภก 100 กรัม สมอไทย 200 กรัม มะขามป้อม 400 กรัม จากนั้นนำสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด ใส่หม้อผสมน้ำ 6 ลิตร ตั้งไฟต้มเดือด 30 นาที เติมน้ำตาลทราย 600 กรัมเกลือ 1 ช้อนชา หากเข้มข้นเกินไปให้เติมน้ำสุกเพิ่มได้ ปรุงรสชาติที่ชอบ กรองผ่านผ้ากรองหรือกระชอน ใส่ภาชนะ สำหรับเตรียมดื่ม ดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น แทนเครื่องดื่มทั่วไปเช้า กลางวัน เย็น ซึ่งหากดื่มมากก็ไม่พบอันตรายใดๆ" อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

2554/04/07

ประโยชน์ใกล้ตัว พืชผักสวนครัวใกล้บ้าน

ที่ จริงแล้วผักสวนครัวทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น โหระพา ขิง ข่า ตะไคร้ หรือใบสระแหน่ ก็ล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น โดยเฉพาะสรรพคุณทางยาของความเป็นสมุนไพรไทยที่ใครได้ยินแล้วจะต้องบอกว่า สุดยอด เสมอ ว่าแล้ววันนี้ก็เลยอยากให้คุณๆ ได้รู้จักกับประโยชน์ของพืชผักสวนครัวเหล่านี้กัน

สมัยเด็กมักจะโดนคุณแม่ใช้ให้ไปเก็บพืชผักสวนครัวหลังบ้านบ่อยๆ บ้านหลังเล็กๆ ของเรามีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับปลูกผักสวนครัวไว้ปรุงอาหารกินเอง แต่หลังจากย้ายตัวเองมาฝังตัวอยู่ที่เมืองหลวง ก็มได้มีพืชผักสวนครัวส่วนตัวไว้กินอีกเลย

• โหระพา
โหระพาเป็นผักที่มีกลิ่นแรงบางคนบอกว่าหอม บางคนว่าฉุน แต่ไม่ว่าจะหอมหรือฉุน โหระพาก็เป็นส่วนประกอบในเมนูอาหารไทยมานานนม รวมทั้งมีสรรพคุณทางยามากกว่าที่เราเคยรู้จักเยอะเลย ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจถ้าโหระพาจะเป็นผักชูรส และอยู่ในอาหารอย่างแกงเผ็ด แกงเขียวหวาน เป็นต้น

สารอาหาร
โหระพาที่ใครบางคนว่าฉุน ที่จริงแล้วเป็นผักที่มีสารอาหารด้วยนะ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน

สรรพคุณทางยา
คุณสมบัติทางยาของโหระพาท่ฃี่สุดยอดมากๆ ก็คือ ช่วยย่อยอาหารแก้การจุกเสียด แน่นท้อง เพราะสามารถช่วยขับลมในลำไส้ได้ แต่สำหรับคนที่เกลียดโหระพาเข้าไส้ คุณอาจจะแอบปลื้มที่ได้รู้ว่าผักสวนครัวอย่างโหระพาไม่ได้มีดีแค่ใบ แต่เมล็ดยังสามารถนำมาแช่น้ำให้พองรับประทานเป็นยาแก้บิดได้ด้วย

ทราบหรือไม่•โหระพารักษาโรคเข่า เสื่อมได้ ตำราแพทย์ระบุว่าให้นำต้น ใบและรากโหระพามาตำพอละเอียด ใส่เหล้าขาว 40 ดีกรีเล็กน้อย คนให้เข้ากันแล้วนำไปตั้งไปแค่พอร้อน ทิ้งไว้ให้อุ่น จากนั้ก็นำไปพอกเข่าประมาณ 10-15 นาที ทำวันละ 1-2 ครั้ง แล้วอาการจะค่อยทุเลาลง
•โบราณว่าโหระพาเป็นยาบำรุงทางเพศด้วยนะ



•ขิง
ขิงเป็นเครื่องเคียงอย่างหนึ่งในเมนูอาหารไทย แต่หลายคนส่ายหน้าเวลาเห็นขิง ส่วนหนึ่งก็เพราะกลิ่นแรงเหลือกำลัง ดังนั้นจึงเลี่ยงด้วยการเขี่ยขิงทิ้งไว้ข้างๆ จาน แต่ต่อไปนี้ถ้าอยากได้ประโยชน์มากมายจากอาหารการกิน ลองชิมขิงดูสักครั้ง

สารอาหาร
ขิงประกอบไปด้วยสารอาหารสำคัญคือ โปรตีน คาร์ดบไฮเดรต ไขมัน แคลเซียม วิตามินเอ

สรรพคุณทางยา
ประโยชน์อย่างหนึ่งที่เราจะได้จากการใช้เหง้าขิงแก่ทุบหรือบดเป็นผง แล้วชงน้ำดื่มก็คือ แก้อาหารคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด และแน่นเฟ้อ

นอกจากนี้ขิงยังมีประโยชน์ทุกส่วน ตั้งแต่
ราก – ช่วยให้เจริญอาหาร แก้ลม แก้เสมหะ และแก้บิด
ต้น – ช่วยขับให้ผายลม แก้จุกเสียด แก้ท้องร่วง
ผล – แก้คอแห้ง เจ็บคอ แก้ตาฟาง เป็นยาอายุวัฒนะ
ใบ – แก้ฟกช้ำ แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะขัด แก้โรคตา ฆ่าพยาธิ
ดอก – ช่วยย่อยอาหาร แก้ปัสสาวะขัด แก้โรคประสาทที่ทำให้ใจขุ่นมั่ว

ทราบหรือไม่•ขิงแก้ผมร่วง ตำราระบุว่า ให้ใช้เหง้าขิงสดมาผิงไฟพออุ่น จากนั้นให้ตำแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีผมร่วง ทำแบบนี้ประมาณ 3 วัน วันละ 2 ครั้ง ถ้ายังไม่ได้ผลให้ทำต่อไป
•ขิงกำจัดกลิ่นกาย ถ้ารักษากลิ่นเหงื่อใต้วงแขนมาหลากหลายวิธีแล้วแต่ยังช่วยไม่ได้ ลองใช้เหง้าขิงแก่ โดยทุบแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาทาใต้วงแขนทุกวัน จะช่วยกำจัดกลิ่นกายได้ชะงัด
•ขิงแก้ปากเหม็น โดยให้คั้นน้ำขิงผสมน้ำอุ่น เติมเกลือเล็กน้อย แล้วกลั้วปาก ฆ่าเชื่อโรค



•ข่า
ถ้าหยิบขึ้นมาเคี้ยวกันสดๆ ก็คงจะไม่ปลื้มนัก ข่าเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องเทศที่ใช้ปรุงอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวจาก เนื้อสัตว์ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงเอร็ดอร่อยกับเมนูโปรดอย่างต้มข่าไก่กันนัก แต่หน่อข่าอ่อนสามารถเป็นเครื่องเคียงแสนอร่อยในเมนูน้ำพริกแบบไทยๆ ได้ด้วยนะ

สารอาหาร
สารอาหารที่จะได้จากข่าคือ คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส แคลเซียม สฃวิตามินซี

สรรพคุณทางยา
ประโยชน์จากคุณสมบัติทางยาของข่า ให้ใช้เหง้าสดดำดให้ละเอียดผสมกับน้ำปูนใส แล้วรับประทานครั้งละครึ่งแก้ว จะช่วยขับลมแก้มฃท้องอืด ท้องเฟ้อท้องเดิน และบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้

ทราบหรือไม่ว่า•ประโยชน์อื่นๆ ที่ได้จากข่านอกเหนือจากการรับประทานอาหาร ได้แก่ ใช้รักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อนและแก้ลมพิษ โดยใช้เหง้าสดตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าขาวทาบริเวณที่เป็นจนกว่าจะดีขึ้น
•ใช้ข่าไล่แมลงได้ด้วย โดยนำเหง้ามาทุบหรือตำให้ละเอียด เพื่อให้น้ำมันหอมระเหยออกมา แมลงก็จะไม่กล้ามาแหยมอีกแล้ว 


ที่มา http://sakaeo.nfe.go.th

อาหารอินทรีย์ ใช้ฉี่คนได้ผลดี

คนเอเชียใช้ ปัสสาวะ(ฉี่)เป็นปุ๋ยมานานแล้ว ถ้าเราปลูกพืชสวนครัวมีของใช้แล้วที่จะนำมาทำเป็นปุ๋ยได้ง่ายๆ คือ น้ำซักผ้า(ถ้าซักผ้าแล้วสีไม่ตก) น้ำล้างจาน น้ำอาบ น้ำสระผม และฉี่ของเรา
ผง ซักฟอกส่วนใหญ่มีเกลือฟอสเฟต(สารประกอบฟอสฟอรัส / K) น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน น้ำสระผม และน้ำสบู่ส่วนใหญ่มีเกลือซัลเฟต(สารประกอบกำมะถัน / S) น้ำสระผม... ถ้าใช้แชมพูชนิดป้องกันรังแคบางชนิดมีธาตุสังกะสี (Zn)... เมื่อนำมาเจือจางแล้ว จะใช้เป็นปุ๋ยชั้นดีได้ทันที
...
ท่านรองศาสตราจารย์ ดอกเตอร์อารัฐ ตันโซ ผู้เชี่ยวชาญการผลิตปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า ฉี่คนมีธาตุอาหารที่พืชต้องการ เช่น ไนโตรเจน โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส ฯลฯ และธาตุอาหารรองอย่างครบถ้วน
นักวิจัยจากจีนทำการศึกษาหาความเข้มข้นที่เหมาะสมในการใช้ฉี่บำรุงข้าวโพดหวานพบว่า 40% นี่กำลังดี
...
ที่ดีไปกว่านั้นคือ ไม่ทราบฉี่คนมีดีอะไร พอใช้รดต้นไม้แล้ว พืชจะแข็งแรง แมลงไม่ค่อยรบกวน และไม่ทำให้เกิดเชื้อก่อโรคด้วย
การ ศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า อาหารที่ปลูกแบบอินทรีย์(ออร์แกนิค) หรือการเพาะปลูกแบบไม่ใช้สารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ย ฯลฯ มีคุณค่าทางอาหาร และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าการเพาะปลูกแบบใช้สารเคมี
...
ถ้าพวกเรา พอจะมีที่ทำแปลงผักสวนครัว... เรียนเสนอให้ปลูกพืชสุขภาพชั้นนำ เช่น พริก ใบกะเพาะ กล้วย มะละกอ ฯลฯ ปลูกแล้วอย่าลืมนำฉี่เจือจางรดแทนปุ๋ย ไม่นานคงจะได้อาหารอินทรีย์ปลอดสารพิษไว้กินเป็นประจำ
ถ้า อยากเสริมธาตุสังกะสีหรือซิ้งค์ (zinc / Zn)... เรียนเสนอให้ใช้แชมพูกันรังแคชนิดมีสารซิ้งค์ ไพริไธออน เวลาสระผมให้ทิ้งแชมพูไว้บนหัว 5 นาที อย่าล้างออกทันที จึงจะกันรังแคได้ดี
...
ก่อนสระอย่าลืมนำกาละมังมารองน้ำแชมพู เก็บไว้รดพืชสวนครัว ต้นไม้จะดูดซับธาตุสังกะสี ทำให้ได้อาหารเสริมแบบไม่ต้องกินสารอัดเม็ด
ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
ที่มา                                                              
  • ขอ ขอบพระคุณ > ท่านอาจารย์ดอกสะแบง > ปลูกพืช... ใช้ฉี่คนแทนเคมี > หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน > ไทยรัฐ. 1 พฤศจิกายน 2550. หน้า 7.
  • ขอขอบพระคุณ > อ.ณรงค์ ม่วงตานี + ทีม IT โรงพยาบาลค่ายสุรศักดิ์มนตี > ช่วยเหลือด้าน IT.
  • นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ > 31 ตุลาคม 2550.

2554/04/06

ผักชีโรยหน้าช่วยระบายแก้ท้องอืดได้ดี


   ผักชี ผักที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว  จึงมีการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหาร เพื่อทำให้อาหารมีกลิ่นหอม และด้วยสีที่เขียวสด และรูปร่างของใบ ที่มีความโดดเด่น ผักชีจึงยังทำหน้าที่ในการเป็นผักแต่งจานอาหาร ให้ชวนทาน จนหลายคนมีคำพูดที่ติดปากว่าผักชีโรยหน้า (หมายถึง โรยผักชีให้ดูสวยไว้ก่อน แต่รสชาติ ค่อยว่ากันทีหลัง)  ส่วนใหญ่เราจะใช้ส่วนต้น ผลและรากของผักชีในแพทย์แผนโบราณ เรามีการใช้ผักชีที่น่าสนใจไม่น้อย เช่น ทั้งต้นนำมาต้ม หรือคั้นเฉพาะน้ำดื่ม มีสรรพคุณเป็นยาช่วยระบาย แก้หัดหรือผื่น ขับเหงื่อ ขับลม ท้องอืดท้องเฟ้อ , ผลแห้ง บดเป็นผง ต้มกับน้ำดื่ม ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ทำให้เจริญอาหาร แก้หัด แก้บิด หากเป็นริดสีดวงทวาร ให้นำผลไปคั่ว แล้วบดทาผสมกับเหล้า ทาวันละ 3-5 ครั้ง , บิด ถ่ายเป็นเลือด ใช้ผล 1 ถ้วย ชาตำละเอียด ผสมน้ำตาลทราย ทาน ,มีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ใช้ผล 2 ช้อนชา ต้มผสมน้ำดื่ม,  เด็กเป็นผื่นแดง ไฟลามทุ่ง ( Erysipelas ) ให้ใช้ผักชี ตำพอก , ปากเจ็บ คอเจ็บ ปวดฟัน เอา เมล็ดมาต้มกับน้ำ ต้ม 5 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน เอามาอมบ้วนปาก  ข้อมูลทางเภสัชวิทยา พบว่า ผลที่แก่จะเป็นเครื่องเทศ ที่มีกลิ่นหอม เราจะใช้ผสมกับยาอื่น จะช่วยกระตุ้มต่อมในกระเพาะอาหารและลำไส้เพื่อที่จะให้ขับสารออกมามากขึ้น หรือน้ำดีมากขึ้น ทั้งนี้ การทานผักชี ยังมีข้อห้าม คือ อย่าทานมากเกินไป เพราะจะทำให้มีกลิ่นตัวแรง มีอาการตาลายและลืมง่ายได้







ที่มา : หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย โดย คเนพร  พิทักษ์พงค์

2554/04/02

ดูแลสุขภาพ แบบไทย

กรมพัฒนาการแพทย์แผนโบราณ กระทรวง สาธารณสุข แนะ หนาวนี้ใช้สมุนไพรใกล้ตัวดูแลสุขภาพ ผักพื้นบ้าน อาหารเป็นยา ภูมิปัญญาแผนไทย ป้องกันโรค เสริมภูมิต้านทาน ต้านโรคหน้าหนาว

ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รมช.สาธารณสุข เปิดเผยว่า อากาศเริ่มเปลี่ยนจากฤดูฝนเป็นฤดูหนาวแล้ว โบราณเรียกว่า ปลายฝนต้นหนาว คนมักจะเจ็บป่วยเป็นไข้หัวลมตามภาษาโบราณ โรคนี้มักจะมีอาการเช่น ไอ มีไข้ เป็นหวัด ปอดบวม ท้องเสีย เป็นต้น จึงอยากแนะนำให้ประชาชนนำศาสตร์การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านไทย มาใช้ดูแลสุขภาพ

อาจจะใช้รสชาติของอาหารมาปรับสมดุลของร่างกายให้ พร้อมรับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง อาทิ รสเปรี้ยว จะช่วยขับเสมหะ รสขม จะช่วยเจริญอาหารทำให้หลับได้ รสเผ็ดร้อน จะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ขับลม ทั้ง 3 รส หาได้ในอาหารที่รับประทานแต่ละมื้อ ผักพื้นบ้าน อาหารเป็นยา ภูมิปัญญาแผนไทยใช้ป้องกันโรค เสริมภูมิต้านทาน

การบริโภคอาหาร การสัมผัสรสชาติของอาหารจึงเป็นพฤติกรรมที่ทุกคนได้รับ ดังนั้น ช่วงหน้าหนาวควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ เน้นรสเปรี้ยวอมขมเล็กน้อย และรสเผ็ดร้อน เช่น ต้มยำต่างๆ ซึ่งในส่วนประกอบต้มยำ จะมีสมุนไพรรสเผ็ดร้อน ได้แก่ ขิง ข่า ขมิ้น ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก กะเพรา หอม กระเทียม เป็นต้น

นอกจากนี้ แกงขี้เหล็ก สะเดาต้มจิ้มน้ำปลาหวาน รสขมของสะเดาช่วยให้เจริญอาหาร นอนหลับสบาย หรือ ยำดอกแค แกงส้มดอกแค ดอกแคต้มจิ้มน้ำพริก สรรพคุณดอกแคช่วยแก้ไข้เปลี่ยนฤดู เปลือกนำมาต้มคั้นน้ำแก้ท้องร่วง แก้บิด แก้มูกเลือด คุมธาตุ

น้ำพริกมะเขือพวง หรือ ยำมะเขือพวง สรรพคุณมะเขือพวง ขับเสมหะ ช่วยย่อยเพราะมีเส้นใยสูงมาก เป็นต้น จะเห็นว่าธรรมชาติจะจัดสรรพืชผักสมุนไพรที่เหมาะสมกับฤดูกาลอยู่แล้ว ช่วงนี้ท่านจะเห็นว่าในตลาดจะมีผักดังกล่าวจำนวนมาก หากปลูกที่บ้านก็จะเห็นออกดอก ออกผลจำนวนมากเช่นกัน โบราณจะกล่าวเสมอว่า ดอกแคจะช่วยแก้ไขหัวลม หมายถึงช่วงปลายฝนต้นหนาวนี่เอง

ส้มตำ จะได้คุณค่าทางอาหาร และสรรพคุณทางยา ได้แก่ 1.มะละกอ ผลดิบ ต้มกินเป็นยาบำรุงน้ำยมขับพยาธิ แก้บิด แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยย่อยอาหาร ขับน้ำดี น้ำเหลือง 2.มะเขือเทศรสเปรี้ยว เป็นผักที่ใช้แต่งสีและกลิ่นอาหาร ช่วยระบายบำรุงผิว 3.มะกอก รสเปรี้ยว ฝาด หวาน แก้โรคธาตุพิการ เพราะน้ำดีไม่ปกติ แก้บิด แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน ผลสุกทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ 4.พริกขี้หนู รสเผ็ดร้อน ช่วยเจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อย 5.กระเทียม รสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคผิวหนัง น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรียและไวรัส ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในหลอดเลือด 6.มะนาว เปลือกผลรสขมช่วยขับลม น้ำในลูกรสเปรี้ยว แก้เสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต 7.ผักแกล้มต่างๆ ถั่วฝักยาว และกะหล่ำปลี ช่วยกระตุ้นการทำงานของกระเพาะลำไส้ บำรุงธาตุดิน ผักบุ้ง รสจืดเย็น ต้มกินใช้เป็นยาระบาย ทำให้อาเจียน เนื่องจากพิษของฝิ่นและสารหนู กระถิน รสมัน แก้ท้องร่วง สมานแผล ห้ามเลือด ถ่ายพยาธิ มะยม ใบต้มกิน เป็นยาแก้ไอ ช่วยดับพิษไข้ บำรุงประสาท ขับเสมหะ บำรุงอาหาร แก้พิษไข้อีสุกอีใส โรคหัดเลือด
ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

2554/03/29

5 นาทีที่เมืองตรัง-พืชสมุนไพร

พืชสมุนไพรพื้นบ้าน

พืชสมุนไพร หมายถึง พืชที่ใช้ทำเป็นยารักษาโรค โดยใช้ส่วนต่างของพืชชนิดเดียวหรือหลายชนิดพร้อมกัน พืชสมุนไพรเป็นกลุ่มพืชที่อยู่ในความสนใจ และมีผู้ศึกษาทางด้านพฤกษศาสตร์พื้นบ้านมากที่สุด ยารักษาโรคปัจจุบันหลายขนานที่ผลิตเป็นอุตสาหกรรม ได้มาจากการศึกษาวิจัยการใช้พืชสมุนไพรพื้นบ้านของกลุ่มชนพื้นเมืองตามป่าเขาหรือในชนบท ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษที่ได้สังเกตว่าพืชใดนำมาใช้บำบัดโรคได้ มีสรรพคุณอย่างไร จากการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ และการทดลองแบบพื้นบ้านที่ได้ทั้งข้อดีและข้อผิดพลาด

พืชสมุนไพรพื้นบ้านในตำรับยาไทยมีหลายร้อยชนิด จะนำมากล่าวถึงเป็นตัวอย่างเพียงบางชนิด แยกตามกลุ่มพืชที่ใช้บำบัดโรคต่างๆ ดังนี้

กลุ่มพืชสมุนไพรที่ใช้แก้ไข้และขับปัสสาวะ เช่น
เปลือกพญาสัตบรรณหรือตีนเป็ด (Alstoniascholaris)
เปลือกและใบทุ้งฟ้า (Alstonia macrophylla)
ใบหนาด (Blumea balsamifera)
ราก เปลือก และใบ ขลู่ (Pluchea indica)
ใบ เนื้อไม้ ผล และเมล็ดมะคำไก่ หรือประคำไก่ (Drypetes roxburghii)
ต้นและรากอ้อเล็ก (Phragmites australis)
รากและใบกรุงเขมา (Cissampelos pareira)
เถาบอระเพ็ด (Tinospora crispa)
เถาขมิ้นเครือ (Arcangelisia flava)
ราก เหง้า และใบหญ้าคา (Imperatacylindrica)
ผลน้ำเต้า (Legenaria siceraria)

กลุ่มพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย เช่น
เนื้อไม้สีเสียดหรือสีเสียดเหนือ (Acaciacatechu)
ใบและผลมะตูม (Aegle marmelo)
เปลือกประดู่บ้าน (Pterocarpus indicus)
เหง้าไพล (Zingiber purpureum)
เหง้าและรากกระชาย (Boesenbergia rotunda)
แก่นฝาง (Caesalpinia sappan)
ราก เปลือก เนื้อไม้ ใบและดอกแก้ว (Murrayapaniculata)
เปลือกโมกหลวง(Holarrhenapubescens)

กลุ่มพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาระบายและขับพยาธิ เช่น
ผลดิบมะเกลือ (Diospyros mollis)
แก่นไม้มะหาด (Artocarpus lakoocha)
เมล็ดเถาเล็กมือนาง (Quisqualis indica)
เมล็ดสะแกนา (Combretum quadran-gulare)
เมล็ดแห้งฟักทอง (Cucurbita moschata)
เนื้อในเมล็ดมะขาม (Tamarindus indica)

กลุ่มพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาขับลม เช่น
เหง้าแก่ขิง (Zingiber officinale)
เหง้าว่านน้ำ (Acorus calamus)
ผลกระวาน (Amomum krervanh)
เหง้าข่า (Alpinia galanga)
ผลพริกไทย (Piper nigrum)
ต้นตะไคร้ (Cymbopogon citratus)

กลุ่มพืชสมุนไพรที่ใช้แก้โรคผิวหนัง เช่น
เปลือก ใบ และเมล็ดสารภีทะเลหรือกระทิง (Calophyllum inophyllum)
ใบและเมล็ดชุมเห็ดไทย (Cassia tora)
ใบชุมเห็ดเทศ หรือ ชุมเห็ดใหญ่ (Cassia alata)
ใบ ดอกและเมล็ดเทียนบ้าน (Impatiensbalsamina)
รากและใบทองพันชั่ง (Rhinacanthus nasutus)
เปลือก ใบ ดอกและผลโพธิ์ทะเล (Thespesia populnea)
ใบและเมล็ดครามป่า (Tephrosia purpurea)
ยางสลัดไดป่า (Euphorbia antiquorum)
น้ำยางสบู่ดำ (Jatropha curcas)
เมล็ดทองกวาว (Butea monosperma)
เปลือกเถาสะบ้ามอญ (Entada rheedii)
เมล็ดกระเบาใหญ่ (Hydnocarpus anthelminthicus)
เหง้าข่า (Alpiniaa galanga)
หัวหรือกลีบกระเทียม (Allium sativum)

กลุ่มพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาฆ่าแมลงและไล่แมลง เช่น
รากเถาโล่ติ๊น หรือหางไหล (Derris elliptica)
ใบและเมล็ดน้อยหน่า (Annona squamosa)
รากหนอนตายหยาก (Stemona tuberosa)
เมล็ดงา (Sesamun indicum)
ผลมะคำดีควายหรือมะซัก (Sapindus rarak)
ใบเสม็ดหรือเสม็ดขาว (Melaleuca cajuputi)
ต้นขอบชะนางหรือหญ้าหนอนตาย (Pouzol-zia pentandra)
เปลือก ใบและผลสะเดา (Azadirachta indica)
เปลือกกระเจาหรือกระเชา (Holopteleaintegrifolia)
ใบสดกว้าว (Haldina cordifolia)

 ที่มา http://guru.sanook.com/search

การปลูกพริกปลอดสารพิษแบบลดต้นทุนแบบฉบับคนอีสาน


พี่น้องชาวชมรมเกษตรปลอดสารพิษและผู้ที่ผ่านเข้ามาชมเว็ปไซต์ของทางชมรมฯ ทุกท่านครับ 
วันนี้กระผมจะเขียนบทความที่เกี่ยวกับพริกให้พี่น้องเกษตรกรทดลองวิธีการของชมรมฯ ดูนะครับ 
รับรองพี่น้องจะไม่ผิดหวังเลยครับ โดยทั่วไปแล้วพริกจะเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งของไทย 
ที่สร้างรายได้แก่เกษตรกรแถบอีสาน เช่น อุบลราชธานี , นครพนม , สกลนคร เป็นต้น 
ไม่ว่าจะเป็นพริกพันธุ์อะไร ก็จะต้องมีการเตรียมดินก่อนปลูกกันก่อน คือ การไถเปิดหน้าดิน 
และปรับพื้นให้เรียบ ชักร่องให้ทางน้ำไหลให้ทั่วแปลงโดยเกษตรกรอาจใช้ปุ๋ยคอก 100 กิโลกรัม
ผสมภูไมท์ซัลเฟต 20 กิโลกรัม(แร่ธาตุภูเขาไฟ) ไตรโคเดอร์ม่า 1 กิโลกรัม
ซิลิโคเทรซ 1 กิโลกรัม ผสมให้เข้ากัน ใส่รองก้นหลุมก่อนปลูก 
หรือร่วยรอบโคลนต้นประมาณ 1-2 กำมือ
เพื่อให้พืชเจริญเติบโต และป้องกันเชื้อราในดิน เมื่อต้นพริกเริ่มแตกใบ 
ใช้ไคโตซาน MT ฉีดทางใบ 7-10 วันต่อครั้งโดยใช้ 5 ซี.ซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
พริกจะเริ่มติดดอกและผล เมื่อบำรุงให้สมบูรณ์แล้วแต่เมื่อพบแมลงศัตรูพืช
เช่น เพลี้ย , แมลงหวี่ , จิ้งหรีด ฯลฯ ให้ใช้ทริปโตฝาจ + ไทเกอร์เฮิร์บ 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
ฉีดพ่น 7-10 วันต่อครั้ง จะทำให้พืชผลผลิตงามอุดมสมบูรณ์ 
สามารถติดต่อกับทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษได้ที่ 
02-9861680 หรือคุณคณาวุฒิ วรสาร 083-5406267 (เจ้าหน้าที่ชมรม ฯ)
เขียนและรายงานโดย นายคณาวุฒิ วรสาร (นักวิชาการ)
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com

2554/03/28

ผักออแกนิค มีประโยชน์

              

 ผักออร์แกนิค อาจจะแพงกว่าผักทั่วไปบ้าง แต่ประโยชน์ดีๆ ที่มันมีให้ก็คุ้มค่าสมราคา ผักออร์แกนิคนั้น ถูกปลูกขึ้นมาโดยไม่ใส่ยาฆ่าแมลง ยากำจัดวัชพืช ปุ๋ยเคมี ไม่ใส่ฮอร์โมนหรือผลิตภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น เรียกว่าเป็นผักที่โตขึ้นมาอย่างธรรมชาติแท้ๆ โดยปราศจากสารพิษเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าเทียบผักที่ปลูกด้วยวิธีอื่นๆ ผักออร์แกนิกจะมีวิตามิน เกลือแร่ เอนไซม์ และสารอาหารที่มีคุณค่ามากกว่าถึง 50%
สชาติของผักผลไม้ออร์แกนิคจะ ดีกว่าผักผลไม้ทั่วไป คนที่ชอบทานเนื้นมไข่ ควรจะทานผักผลไม้ออร์แกนิกเสริมด้วย เพราะวัว หมู ไก่ ทั้งหลายเดี๋ยวนี้ถูกเลี้ยงมาด้วยสารเร่งโตและถูกฉีดฮอร์โมนสารพัดอย่าง กินเข้าไปก็มีสารเคมีทั้งนั้น นานๆ ไปจะทำให้คนกินเป็นมะเร็ง โรคหัวใจ และความดันได้ ซึ่งการทานผักผลไม้ ออร์แกนิกจะช่วยชะลอโรคเหล่านี้ให้เรา เห็นไหมว่า ผักออแกนิค มีประโยชน์มากมายแค่ไหน เห็นอย่งนี้แล้วผมก็อยาก๙กชวนเพื่อนๆให้หันมากินผักออแกนิกกันเยอะๆนะครับ เพื่อสุขภาพของพวกเราๆเอง
ผักออแกนิค หรือ การปลูกพืชไร้ดิน หรือ การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน หมายถึง การปลูกพืชเลียนแบบการปลูกพืชบนดิน โดยการใช้วัสดุปลูกต่าง ๆ ในการปลูกเช่น น้ำ ทราย กรวด ดินเผา หรือวัสดุอื่นที่ไม่ใช่ดิน ซึ่งพืชจะสามารเจริญเติบโต บนวัสดุปลูกได้จากการได้รับสารละลายธาตุอาหารพืชที่มีน้ำผสมกับปุ๋ย หรือ ธาตุอาหารต่างๆ ที่พืชต้องการทางรากพืช ระบบปลูกพืชไร้ดินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันนี้ก็คือ ระบบการปลูกพืชที่ใช้น้ำเป็นวัสดุปลูกโดยให้สารละลายธาตุอาหาร
(น้ำผสมกับปุ๋ย ที่มีธาตุอาหารที่พืชต้องการ) ผ่านทางรากพืชโดยตรงซึ่งระบบนี้เราคุ้นเคยกันดีในชื่อว่า “ระบบไฮโดรโปนิก” นั่นเอง

ข้อดีของการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน หรือ พืชออแกนิกส์
  1. สามารถทำการเพาะปลูกพืชได้ทุกสภาวะ ไม่ว่าจะเป็นในที่ที่ดินดีหรือไม่ดี หรือสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะต่อการเพาะปลูกเราก็สามารถใช้วิธีไฮโดรโปนิกนี้ ได้
  2. ให้ผลผลิตต่อพื้นที่สูงกว่า ร่นระยะเวลาในการเก็บเกี่ยว ทำการผลิตได้สม่ำเสมอและต่อเนื่อง
  3. สามารถปลูกพืชเชิงธุรกิจได้หลากหลายชนิด
  4. ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับศัตรูพืชที่เกิดจากดิน จึงไม่ต้องใช้สารพิษเพื่อกำจัดแมลง เป็นระบบปลูกพืชที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  5. ให้ผลผลิตที่สดสะอาด ปราศจากสารพิษทั้งจากดินและย่าฆ่าแมลง จึงบริโภคได้อย่างมั่นใจ
  6. ผลผลิตได้ปริมาณ คุณภาพและราคาดีกว่าปลูกบนดินมากเพราะสมารถควบคุมสภาพแวดล้อมต่างๆที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโตของพืชได้ดีกว่า
  7. อัตราการใช้แรงงาน เวลาในการปลูก และค่าใช้จ่ายต่ำกว่า
  8. ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเตรียมดินและกำจัดวัชพืชก่อนการปลูก
  9. ใช้น้ำและธาตุอาหารได้อย่างประหยัด คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ เช่น ใช้น้ำลดลงถึง10 เท่าตัวของการปลูกแบบธรรมดา
  10. ลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสารป้องกันและจำกัดแมลงได้ 100%
  11. ประหยัดค่าขนส่ง เพราะสามารถเลือกพื้นที่ที่จะปลูกใกล้กับแหล่งรับซื้อได้ เนื่องจากใช้พื้นที่ในการปลูกไม่มาก
  12. มีวิธีการปลูกและการดูแลรักษาง่าย ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ หรือแม้แต่คนพิการก็สามารถทำได้เป็นกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว และทางเลือกในการเพิ่มอาชีพให้แก่ผู้ด้อยโอกาส เช่น คนพิการอีกด้วย
การปลูกผักออแกนิค โดยวิธี ไฮโดรโปนิกส์ เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากในปัจจุบันและกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

http://www.kasetorganic.com

2554/03/27

ผักพื้นบ้านไทยสู้มะเร็งร้ายได้

อ.. สุรัตน์วดี จิวะจินดา
ศูนย์ปฏิบัติการและเรือนปลูกพืชทดลอง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์กำแพงแสน
จ.นครปฐม

ได้นำพืชผักพื้นบ้านไทยกว่า 100 ชนิด มาวิจัยทดลอง ผลปรากฏว่ามีผักไทยร่วม 90 ชนิดที่มีคุณสมบัติต้านเซลล์มะเร็งได้ ซึ่งหมายถึงสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งไม่ให้เซลล์มะเร็งร้าย ลุกลามขยายตัวเร็วจนเกินไป ช่วยให้ร่างกายคนป่วยไม่โทรมเร็ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้หายขาดได้นะคะ อย่าเข้าใจผิดค่ะ
ผักไทยที่สู้กับมะเร็งร้ายได้ อ. สุรัตน์วดี จัดแบ่งไว้ 4 ประเภท ดังนี้ค่ะ
ประเภทแรก ผักที่มีฤทธิ์ต้านการลุกลามขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้มากกว่า 70% เซลล์มะเร็งที่เคยขยายตัวได้ 100% เจอผักเหล่านี้เข้าไปเซลล์มะเร็งจะเพิ่มจำนวนได้ไม่เกิน 30 % ค่ะ ผักประเภทนี้มีให้เลือกกินได้ตั้งแต่
ผักขี้ขวง (สะเดาดิน) ผักโขมหัด มะระขี้นก ใบมะม่วง เพกา(มะลิดไม้) ดอกแก้วเมืองจีน ตังโอ๋ แขนงกะหล่ำ ปีแซ ตะไคร้ ชะมวง โหระพา ใบยี่หร่า (กระเพราช้าง) แมงลัก ถั่วลันเตา แคบ้าน ผักแว่น ยอดสะเดา(ต้ม) พริกไทย มะกรูด มะแขว่น ชะพลู ใบพลู ผักไผ่ (ผักแพว) ใบยอ ผักคาวทอง(พลูคาว) ผักขะแยงง ขึ้นช่าย ใบบัวบก ผักชี ผักชีฝรั่ง หอมแย้ กระชาย ข่า ขิงแก่

ประเภทที่ 2 หยุดเซลล์มะเร็งขยายตัวได้ 50-70% ได้แก่
หัวไชเท้า ฟัก สะระแหน่ ขี้เหล็ก (ดอก) แคบ้าน ยอดสะเดา(สด) หยวกกล้วย พริกหยวก ผักชีลาว ขิงอ่อน

ประเภทที่ 3 มีฤทธิ์น้อยลงมาหน่อยหยุดเซลล์มะเร็งได้ 30-50% ได้แก่
ผักบุ้ง บวบหอม มะดัน ขี้เหล็ก เมล็ดกระถิน มะขาม มะขามเทศ มะเดื่อ มะเขือม่วง มะเขือเทศ มะเขือยาว มะเขือพวง มะอึก กระเจี๊ยบมอญ

ประเภทที่ 4 หยุดเซลล์มะเร็งได้เล็กน้อยยับยั้งได้น้อยกว่า 30% ได้แก่
ผัก กูด เห็ดลม เห็ดนางฟ้า มะกอก เผือก ยอดผักปลัง ดอกผักปลัง ผักกาดแก้ว กะหล่ำปลี กะหลำปลีม่วง บวบงู แตงโม มะระจีน สะตอ ลูกเหนียง ถั่วพู ดอกโสน หอมแดง หอมหัวใหญ่ ต้นกระเทียม กุยช่าย หน่อไม้ฝรั่ง ดอกกระเจี๊ยบ สายบัว เห็ดหอม พริก มันฝรั่ง แครอท

แนวกินผักพื้นบ้าน



ฤดู ร้อน (กุมภาพันธ์-พฤษภาคม) เจ็บป่วยด้วยธาตุไฟควรรับประทานผักพื้นบ้าน รสขม เย็น เปรี้ยว และจืด เช่น ผักหนาม ขี้เหล็ก มะขาม ตำลึง
ฤดูฝน (มิถุนายน-กันยายน) เจ็บป่วยด้วยธาตุลม ควรรับประทานผักพื้นบ้าน รสสุขุม รสเผ็ดร้อน เช่น กระเจี๊ยบแดง หอมแดง แมงลัก
ฤดูหนาว (ตุลาคม-มกราคม) เจ็บป่วยด้วยธาตุน้ำ ควรรับประทานผักพื้นบ้าน รสขม ร้อน และเปรี้ยว เช่น สะเดา ข่าอ่อน พริกไทย ผักแพว

5.1 แนวทางบริโภคผักพื้นบ้านตามลักษณะสีผิวกายและโลหิต
คนผิวขาว โลหิตมีรสหวาน ควรเลือกรับประทานผักพื้นบ้านรสเผ็ด ร้อน ขม
คนผิวขาวเหลือง โลหิตมีรสเปรี้ยว ควรเลือกรับประทานผักพื้นบ้านรสเค็ม
คนผิวคำแดง โลหิตรสเค็ม ควรเลือกรับประทานผักพื้นบ้านได้ทุกรสยกเว้นรสเค็ม
คนผิวดำ โลหิตมีรสเค็มจัด และเย็นจัด ควรเลือกรับประทานผักพื้นบ้านรสหวาน

5.2 แนวทางการบริโภคผักพื้นบ้านตามอายุ
ปฐมวัย (อายุแรกเกิดถึงอายุ 16 ปี) เป็นช่วงอายุทำให้เกิดโรคทางธาตุน้ำ ควรรับประทานผักพื้นบ้านรสขม และเปรี้ยว
มัชฌิมวัย ( อายุ 16 ถึง อายุ 32 ปี) เป็นช่วงอายุทำให้เกิดโรคทางธาตุไฟ ควรรับประทาน ผักพื้นบ้านรสเย็น และจืด
ปัจฉิมวัย (อายุมากกว่า 32 ปีขึ้นไป) เป็นช่วงอายุทำให้เกิดโรคทางธาตุลม ควรรับประทานผักพื้นบ้าน รสเผ็ดร้อน รสสุขุม (รสไม่ร้อนไม่เย็น) แนวทางการบริโภคผักพื้นบ้านตามกาลเวลา

2554/03/15

ใบชะพลู (อีสานเรียกว่า ผักอีเลิศ)

ผักพื้นบ้านล้านนา (ภาคเหนือ)


ชื่อพื้นเมือง :ผักปั๋ง
ชื่อผัก : ผักปลัง
ประโยชน์ :ยอดอ่อนใช้แกงใส่แหนม รักษาอาการท้องผูก เป็นยาระบาย
เป็นผักที่ให้วิตามินเอสูง
ใช้ทำอาหาร : แกงผักปั๋ง
ชื่อพื้นเมือง :ผักติ้ว
ชื่อผัก : ผักแต้ว
ประโยชน์ :ยอดอ่อนและช่อดอกอ่อนรับประทานเป็นผักได้ ป้องกันโรคตาบอดกลางคืนในเด็ก มีเบต้าแคโรทีนสูง
เป็นผักที่ให้วิตามินเอสูง
ชื่อพื้นเมือง :ผักจอยนาง
ชื่อผัก : ย่านาง
ประโยชน์ :ยอดอ่อนใส่แกงหน่อไม้ หรือคั้นน้ำจากใบใส่แกงหน่อไม้ ช่วยลด รสขมขื่น ราก แก้ไข้ทุกชนิด
เป็นผักที่ให้วิตามินเอ,ซีและแคลเซียม
ชื่อพื้นเมือง :ผักคาวตอง
ชื่อผัก : พลูคาว
ประโยชน์ :ใบสดรับประทานเป็นผักจิ้ม ดับคาว ขับลมในกระเพาะ ภายนอกใช้ทาแก้กลากเกลื้อน
ชื่อพื้นเมือง :ผักกาดจ้อน
ชื่อผัก : ผักกาดกวางตุ้ง
ประโยชน์ :กินเป็นผักสด หรือใช้แกง ต้นอ่อนนิยมทำส้าผัก
ใช้ทำอาหาร : ผักกาดจอ

ผักพื้นบ้าน อีสาน

อาหารพื้นเมืองอีสานมักจะต้องมีส่วนปรุงรส หรือชูรสด้วยผักพื้นบ้านอีสาน ซึ่งมีเอกลักษณ์ทางด้านถิ่นกำเนิด กลิ่นและรสที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ หายากเพราะมีผลผลิตออกมาตามฤดูกาล นอกจากนั้นยังเป็นพืชผักที่ให้คุณค่าทางด้านสุขภาพอนามัย ปลอดสารพิษ ทำให้เป็นที่นิยมกันทั่วไป ไม่ว่าจะทำอาหารประเภทลาบ ก้อย ต้ม แกง อ่อม ล้วนต้องใช้ผักพื้นเมืองเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น
ในอาหารที่แนะนำให้รู้จักได้กล่าวถึงผักหลายชนิด ท่านอาจจะสงสัยว่า คือผักอะไรกันแน่ มีสรรพคุณอย่างไร เรามารู้จักกันหน่อยดีกว่า
  1. ผักหอมเป หรือ ผักชีฝรั่ง (Stink Weed) มีคุณค่าทางอาหารมาก นำไปกินใบสดหรือใช้เป็นส่วนประกอบในอาหาร ประเภทต้ม ลาบ ก้อย ป่น เพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ส่วนคุณค่าทางยา จะได้วิตามินหลายชนิด เช่น วิตามิน ซี, บี 1, บี 2, ไนอาซีน และเบต้า-แคโรทีน ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นของการสร้างวิตามินเอ
ผักหอมเป หรือผักชีฝรั่ง

  1. ตะไคร้ (Lemon grass) มีคุณค่ากับอาหารไทยมานานแล้ว ใส่ในต้มยำ แกงต่างๆ หรือจะหั่นฝอยใส่ยำ ใส่หม่ำ เพิ่มกลิ่นหอม เพิ่มรสชาติและดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ คุณค่าทางยา จะช่วยลดการบีบตัวของลำไส้บรรเทาอาการปวดท้อง ลดอาการจุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ใช้หัวนำมาคั่วไฟกินแก้ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา แก้นิ่วในระยะแรกๆ แก้ปัสสาวะหยด และยังใช้ใบมาย่างไฟให้เหลือง แก้อาการปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ บรรเทาอาการร้อนใน ริมฝีปากแห้ง
    ตะไคร้หอม บางท้องถิ่นเรียก ตะไคร้แดง เพราะลำต้นสีแดง สรรพคุณแก้ริดสีดวง เป็นแผลในปาก ริมฝีปากแตก ร้อนในกระหายน้ำ สตรีมีครรภ์กินมากไม่ได้ กินแก้ขับเลือดเสีย ขับลมในลำไส้ ใช้ทาตามแขน ขา มือ เท้าป้องกันยุงและแมลงรบกวนได้ดี
  2. สะระแหน่ (Kitchen mint) เป็นผักที่มีกลิ่นดี หอมเย็น เป็นผักกินสดๆ วิตามินจึงไม่ลดลงไปเพราะการใช้ความร้อน ใช้โรยหน้าต้มยำ ลาบ ก้อย คุณค่าทางอาหารและทางยาให้ความสดชื่น ความคิดแจ่มใส ตากแห้งผสมกับใบชาชงเป็นชาหอมได้ มีเบต้า-แคโรทีน และวิตามินซีสูง
  3. ผักขะแยง (Balloon vine) ผักที่มีกลิ่นรสหอมฉุน ใช้ปรุงรสอาหารโดยเฉพาะแก่งอ่อมกบ แกงหน่อไม้ คุณค่าทางยา คั้นน้ำจากต้นแก้ไข้ ทั้งต้นเป็นยาขับน้ำนม ขับลมและเป็นยาระบาย มีวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด
ผักขะแยง หรือผักกะแยง

  1. ชะอม (Cha-om) ช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร กินยอดอ่อนทั้งสดและลวก ยอดอ่อนแกงกับหน่อไม้ หรือทอดใส่ไข่จิ้มน้ำพริก คุณค่าทางยา แก้ท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ แก้ปวดเสียวในลำไส้ มีเส้นใยอาหาร ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด และมีเบต้า-แคโรทีนสูง รากใช้ฝนกับน้ำหรือเหล้าขาวแก้ขับลมในกระเพาะอาหาร ท้องอืดเฟ้อ
  2. ข่า (Greater galangal) เป็นพืชล้มลุก มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า เหง้า ใช้ประกอบอาหารช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ เป็นเครื่องแกง อาหารไทยหลายชนิดใช้ข่าเป็นเครื่องปรุงหลัก เช่น ต้มข่าไก่ แกงเผ็ด แกงเขียวหวาน คุณค่าทางยาในเหง้าจะมีน้ำมันหอมระเหยต่างๆ ทำให้ช่วยขับลม ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับเสมหะ ใบใช้ตำพอกหรือทาโรคผิวหนัง หิด กลาก เกลื้อน ถ้าหญิงคลอดลูกใหม่ๆ เลือดขัดให้ใช้หัวข่าสดมาบดผสมน้ำมะขามเปียกและเกลือแกง บีบคั้นเอาแต่น้ำ ประมาณชามแกงย่อมๆ ให้ดื่มจนหมด จะช่วยขับเลือดเสียและทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น
ข่า

  1. ขิง (Ginger) เป็นพืชล้มลุก มีแง่งใต้ดินแตกแขนงคล้ายนิ้วมือ เนื้อในสีเหลืองแกมเขียว มีส่วนประกอบของน้ำมันหอมระเหยและสารจากธรรมชาติ นิยมนำมาทำอาหารทั้งคาวหวาน เช่น ไก่ผัดขิง ใบใช้กินกับซุปหน่อไม้ ส้มตำ หัวผสมกับกระชายทำน้ำยาขนมจีน หรือนำมาต้มทำน้ำขิงใส่น้ำตาล คุณค่าทางยา ช่วยระบบทางเดินหายใจ เป็นหวัดคัดจมูก แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับลม ช่วยบรรเทาอาการไอ ลดโคเลสเตอรอล
ขิงและน้ำขิง

เหง้าขิงแห้ง เป็นยาจำพวกอายุวัฒนะ บำรุงร่างกาย หัวใจ ไฟธาตุ ขับลมในลำไส้ให้ตด (ผายลม) ออกมา แก้ร้อนในกระหายน้ำ ช่วยย่อยอาหาร แก้ลมพรรดึก แก้อาการปวดท้อง คลื่นเหียนอาเจียน แก้บิดมีตัว บิดมูกเลือก แก้อุจจาระเป็นฟองเหลือง ขับละลายก้อนนิ่ว ตำรับยาแผนโบราณใช้แก้ลมพานไส้ แน่นหน้าอก นอนไม่หลับ โรคปากเปื่อยฯ
  1. กระชายหรือโสมไทย (Chinese Deys) นิยมใช้แต่งรสชาติอาหาร เช่น แกงป่า ผัดเผ็ด แกงส้มเนื้อ น้ำยาขนมจีน ถือว่าเป็นเครื่องเทศอย่างหนึ่ง กระชายมี 3 ประเภท เช่น กระชายดำ กระชายแดง กระชายเหลือง ที่ใช้ประกอบอาหารคือ กระชายเหลือง คุณค่าทางยาเชื่อว่ามีสรรพคุณคล้ายโสมบำรุงกำลัง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เช่น กระชายดำ ซึ่งเป็นที่กล่าวขานกันมากในปัจจุบัน อาจจะเรียกว่าโสมไทย จะมีน้ำมันหอมระเหยสรรพคุณดับกลิ่นคาว ทำให้กระเพาะลำไส้เคลื่อนไหวดี สรรพคุณทางยาของกระชาย ถ้าใช้หัวปรุงแก้อาการปากเปื่อย ปากเป็นแผล ปากแตกแห้ง ร้อนในกระหายน้ำ แก้ปวดท้อง จุกเสียด แก้บิดมูกเลือด บำรุงกำลัง บำรุงน้ำดีฯ
  2. บัวบก (Indian penny wort) กินได้ทั้งต้นเป็นผักสดหรือลวกกินกับอาหารเช่น ป่น ลาบ แจ่ว นำไปประกอบอาหารอื่นเช่น แกงหวาย ยำกับปลาแห้ง คุณค่าทางยา นำมาต้มกินแก้ฟกช้ำ ลดอาการอักเสบได้ ทำเป็นครีมลบรอยแผลเป็น รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยผ่อนคลายทำให้ความจำและสมองทำงานได้ดี
  3. ผักหวานป่า (pagwan pa) เป็นผักพื้นบ้านมีบางฤดู ส่วนที่นำมาปรุงเป็นอาหารได้คือ ยอดอ่อนและใบอ่อน เช่น แกงเลียง แกงจืดใส่หมูบะช่อ แกงใส่ปลาย่าง ผัดใส่หมู หรือผัดไฟแดง คุณค่าทางยาเพราะมีใบสีเขียวจึงมีวิตามิน เกลือแร่และเบต้า-แคโรทีนมาก
  4. ผักกระเฉด (Water mimosa) คุณค่าทางอาหารกินสดกับขนมจีน หรือน้ำพริกกะปิ ยำกระเฉด หรือผัดไฟแดง ใส่แกงส้ม คุณค่าทางยา ถ้ากินสดจะได้ วิตามินบี, วิตามินซี เบต้า-แคโรทีน ไนอาซีนและเกลือแร่ต่างๆ
  5. ผักเสี้ยน (ดอง) (pagsian, Capparidaceae) นิยมนำมาดองเค็มหรือดองเปรี้ยวกินกับป่น หรือแจ่ว คุณค่าทางยาแม้จะผ่านการดองแล้วแต่ปริมาณเบต้า-แคโรทีน ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นของวิตามินเอยังสูงอยู่ และมีวิตามินแร่ธาตุอื่นๆ อีก
  6. มะขาม (Tamarind) สรรพคุณ เป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูก แก้ไอ และแก้หวัดคัดจมูก มีวิตามินซี ช่วยให้ ฟันและเหงือกแข็งแรง และทำให้ผิวพรรณดี [ อ่านเพิ่มเติม ]
  7. กะถิน ยอดและฝักใช้กินเป็นผักสด แก้ร้อนในกระหายน้ำ ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงหัวใจ เมล็ดแก่ กินแก้ขับลม ขับระดูในสตรี บำรุงไตและตับ แก้อาการนอนไม่หลับ เป็นยาอายุวัฒนะ แต่มียูริกสูงต้องห้ามสำหรับคนเป็นโรคเก๊าท์
  8. กะเพรา ใช้ใบดอกประกอบอาหาร เพิ่มรสชาด สรรพคุณทางยาบำรุงธาตุ แก้ปวดท้อง ท้องขึ้น แก้ลมตาล ลมทรางในเด็ก ใช้ปรุงผสมกับสมุนไพรอื่นๆ เป็นยาเขียว ยาลมธาตุ ยาแก้กษัย ส่วนรากใช้ฝนใส่ฝาหม้อดินผสมกับสุราขาวหยอดใส่ปากเด็กโต 3-5 ขวบขึ้นไป ช่วยไล่ลมในกระเพาะ ลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ
  9. กระเทียม ใช้ปรุงอาหารต่างๆ ช่วยให้มีกลิ่นเผ็ดร้อน ชวนรับประทาน ใช้หัวสดตำทาแก้โรคผิวหนัง เช่น เกลื้อน กลาก ตลอดจนเม็ดผดผื่นคันตามตัวทั่วไป ปรุงผสมสมุนไพรอื่นๆ ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ริดสีดวงลำไส้ ขับลมในกระเพาะ เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยให้นอนหลับง่าย แก้โรคหืด
  10. ขี้เหล็ก ใบอ่อนนำมาต้มจนเปื่อย หมดรสขม นำมาแกงใส่อุ้งตีนวัว หรือหนังวัว/ควายตากแห้ง ปิ้งไฟทุบให้นุ่ม ใส่น้ำใบยานาง บางคนก็ชอบกะทิใส่ลงไปแซบอีหลีเด้อสิบอกให่ สรรพคุณทางยา แก่นต้นขี้เหล็กนั้นแก้ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย บำรุงธาตุไฟแก้หนองในและกามโรคในบุรุษ ราก แก้ไข้หัวลม อากาศเปลี่ยนฤดู แก้ปวดเมื่อย เหน็บชา แก้กษัย บำรุงไต ดอก แก้โรคประสาทอาการนอนไม่หลับ แก้หอบหืด บดผสมน้ำฟอกผมบนศรีษะขจัดรังแค เปลือก แก้ริดสีดวงทวาร ริดสีดวงลำไส้ แก้โรคเบาหวาน สมานแผลให้หายเร็ว ใบแก่ แก้ถอนพิษ ถ่ายพิษ กามโรค ตำพอกที่แข้งขา มือเท้าที่มีอาการบวมเนื่องจากเหน็บชา ดับพิษร้อนถอนพิษไข้ พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย กิ่ง-ใบ ทำเป็นยาระบายถ่ายพิษ ขับเสลดในคอ แก้ไข้จับสั่น (มาลาเรีย) ฯ
  11. แคขาว แคแดง ยอดใบ ดอกและฝักเรานำมากินเป็นผัก นึ่งใส่ปลา ลวกจิ้มแจ่ว แซบแท้ๆ และยังเป็นยาแก้ท้องเดิน ท้องร่วง สมานแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้บิด มูกเลือด แก้ไข้หัวลม เปลือกต้นแคนั้นมีสรรพคุณทางยาแก้ร้อนในกระหายน้ำ ขับเสมหะในลำคอ ใช้ฝนเอามาทาแผลเปื่อย แผลสดได้ผลดี ส่วนใบนำมาตำพอกแผลสดเพื่อสมานเนื้อให้หายเร็ว
  12. ตำลึง ใบตำนิน (ก็ว่า) ใบเป็นผักใช้ทำอาหารได้หลายอย่างทั้ง ผัด ลวก นึ่ง หรือจะใส่ในแกงก็อร่อย มีสรรพคุณทางยาดังนี้ ใบ ใช้ตำหรือบดผสมแป้งดินสอพอง พอกแผล ฝี ช่วยบีบรีดหนองให้แตกออกมา เพื่อให้แผลฝีหายเร็ว ใช้ใบปรุงกับสมุนไพรอื่นๆ เป็นยาเขียว ยาเย็น แก้ขับอาการร้อนในและพิษไข้ให้ตัวเย็นลง หรือนำใบไปตำทาตามผิวหนังแก้ผด ผื่นคัน เถา ใช้ตัดมาคลึงให้นิ่ม บีบเอาน้ำภายในออกมา หยอดตา แก้ตาฝ้า ฟาง ตาแดง ตาแฉะ มีขี้ตามาก ราก แก้ตาเป็นฝ้า ติดเชื้อ ดับพิษปวดแสบปวดร้อนในตา บำรุงธาตุเจริญอาหาร บำรุงหัวใจ บำรุงดี ทำให้ระบบขับถ่ายสะดวก รักษาโรคลำไส้และกระเพาะอาหาร ผลสุก มีสีแดงเป็นยาบำรุงร่างกายฯ
  13. มะเขือเทศ อีสานบ้านเฮามักเอาใส่ตำบักหุ่ง (แซบอีหลี) ให้วิตามินซี แก้เลือดออกตามไรฟัน (ลักปิดลักเปิด) หากกินสม่ำเสมอจะทำให้ไม่เป็นมะเร็งในลำไส้ แก้โรคนอนไม่ค่อยหลับ หรือมักนอนผวา สะดุ้ง หรืออาการตกใจง่ายๆ
  14. มะละกอ หรือหมากหุ่ง หรือบักหุ่ง ผลไม้สารพัดประโยชน์ในด้านอาหารของชาวอีสาน จะแห้งแล้ง อุดมสมบูรณ์ ถ้ามีหมากหุ่งละก็รอดตายเลย ใช้ทำส้มตำรสแซบ แกง หรือผัด ผลสุกกินเป็นของหวาน ตัดเป็นชิ้นๆ ลงในต้มเนื้อจะทำให้เนื้อเปื่อยง่าย เร็ว สรรพคุณทางยา ราก รสฉุนเอียนใช้แก้โรคหนองใน ขับเลือด หนองในกระเพาะปัสสาวะ บำรุงไต ก้านใบ มีสรรพคุณเช่นเดียวกัน กับทั้งฆ่าพยาธิในลำไส้และในกระเพาะอาหาร แก้โรคมุตกิต ระดูขาว เหง้า ตรงที่ฝังดินมีรากงอบโดยรอบ ใช้ทำยาขับและละลายเม็ดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้ผลดี
  15. มะระ ผักไห่ หรือหม่านอย ตามท้องถิ่น คนจีนเรียก โกควยเกี๊ยะ สรรพคุณทางยา ยอดและใบอ่อน แก้โรคปวดตามข้อ ตามกระดูก ที่เรียกว่า รูมาติซั่มและเก๊า แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ เมล็ด ฆ่าพยาธิในลำไส้ เป็นยาระบายอ่อนๆ ระลายพิษต่างๆ ให้ออกทางปัสสาวะและอุจจาระ ขับฤดูเสียในสตรี บำรุงดี ตับและม้าม ยอดมะระ ใช้แก้อาการเจ็บคอ ดับพิษร้อนถอนพิษไข้ ในปัจจุบันวงการแพทย์ไทยได้วิจัยค้นพบว่า สามารถใช้แก้โรคเอดส์เบื้องต้นได้ ทำให้เม็ดผื่นคัน แผลในร่างกายไม่ลุกลาม ทำให้กินได้นอนหลับ มีกำลังดีขึ้น
  16. มะรุม ผักอีฮุม นำฝักอ่อนมาแกงใส่ปลาอร่อยนักแล สรรพคุณทางยา เปลือก ถากมาต้มน้ำกินเป็นยาช่วยขับลมในกระเพาะและลำไส้ บำรุงธาตุ ราก รสเผ็ด หวานขม ใช้แก้อาการบวมน้ำ บำรุงธาตุไฟ เจริญอาหาร ยอดและฝักอ่อน ช่วยให้เจริญอาหาร แก้ไข้หัวลม (เปลี่ยนฤดู) ช่วยย่อยอาหาร
มะรุม

  1. สะเดา (Neem Tree) เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ส่วนที่ใช้ประโยชน์ คือ ก้านใบ ผล เปลือก เมล็ดและราก มียอดใบอ่อนให้กินตลอดปีใช้เป็นอาหาร เป็นต้นไม้ที่แมลงไม่ชอบ จึงเป็นยาปราบศัตรูพืช ยอดของสะเดามีเบตา-แคโรทีนมากช่วยลดน้ำตาลในเลือด และใช้ประโยชน์ทางยาได้มากมาย
  2. ขมิ้นชัน (Turmeric, Curcuma) เป็นพืชล้มลุกที่มีอยู่เหง้าอยู่ใต้ดิน มีประโยชน์ในการช่วยดับกลิ่นคาว มีสารสีเหลืองชื่อ เคอร์คูมิน (Curcuma) ฤทธิ์ทางยาแก้ปวดท้อง มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดี รักษาอาการนิ่วในถุงน้ำดี รวมทั้งโรคกระเพาะ
  3. พริก (Chilli) เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็ก ผลใช้เป็นยา ปรุงอาหาร ช่วยเจริญอาหารรักษาอาการอาเจียน โรคหิด ปอดบวม โดยใช้ผลพริกทำเป็นขี้ผึ้งทา
  4. คึ่นไช่ (Celery) เป็นพรรณไม้ล้มลุกกลิ่นหอมทั้งต้น ส่วนที่ใช้ประโยชน์ได้แก่ ต้น เมล็ด ราก สรรพคุณทางยา ต้นลดความดัน รักษานิ่ว ปัสสาวะเป็นเลือด เมล็ดขับลมและระงับปวด รากใช้รักษาอาการปวดตามข้อและขับปัสสาวะ
  5. ใบยานาง คนที่รู้จัก "ใบย่านาง, ใบยานาง" ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นคนภาคอีสาน หรือชอบกินอาหารอีสาน เพราะใบย่านางมักถูกใช้เป็นส่วนประกอบหนึ่งของแกงหน่อไม้ และซุปหน่อไม้ คงมีหลายคนที่ชอบกินแต่คงไม่ทราบว่าน้ำสีออกดำๆ เขียวๆ ที่อยู่ในซุปหน่อไม้ หรือแกงหน่อไม้นั้นได้มาจากน้ำของ "ใบย่านาง" นั่นเอง
ใบยานาง

แม้ว่าสีของน้ำใบย่านางนั้นอาจจะดูไม่ค่อยน่ากินสักเท่าไร แต่น้ำจากใบย่านางนั้นจะช่วยทำให้หน่อไม้ดองมีกลิ่นหอมและมีรสชาติกลมกล่อม เพราะช่วยกำจัดกลิ่นเปรี้ยวและรสขมออกไป ทำให้อาหารจานนั้นแซบนัวหลายๆ หรือหากจะนำยอดอ่อนใส่ในแกงต่างๆ ก็เพิ่มความอร่อยได้ด้วยเช่นกัน
นอกจากความเเซบแล้ว ใบย่านางยังมีสรรพคุณในการช่วยถอนพิษ แก้ไข้และลดความร้อนในร่างกายได้ อีกทั้งยังเป็นพืชที่ให้แคลเซียมและวิตามินซีค่อนข้างสูง และยังให้สารอาหารอื่นๆ เช่น ฟอสฟอรัส เหล็ก และวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 และเบต้า-แคโรทีน หากกินทั้งใบก็จะมีเส้นใยมาก ส่วนรากของใบย่านางช่วยถอนพิษ แก้ไข้ แก้เมารถ เมาเรือ แก้โรคหัวใจและแก้ลมได้ด้วย ขอแถมให้อีกนิด หากนำน้ำใบย่านางมาสระผม จะช่วยทำให้ผมดกดำ ชลอผมหงอกได้อีกต่างหาก
  1. ดาวเรือง (Marigold flower) เป็นไม้ดอกไม้ประดับ นอกจากมีความสวยงาม ยังมีสารแคโรทีนอยด์ ที่เป็นประโยชน์ช่วยบำรุงสายตา รักษาสภาพผิวพรรณ ฯลฯ
  2. สาบเสือ (Bitter, bush, Siam weed) เป็นไม้ล้มลุก ส่วนที่ใช้ประโยชน์ทั้งต้นและใบ มีกลิ่นหอมใช้เป็นยาฆ่าแมลงได้
  3. กากเมล็ดชา ชาเป็นพรรณไม้ขนาดย่อมถึงกลาง ส่วนใช้ประโยชน์ได้แก่ ใบ ดอก ผล ใบอ่อน กากชา กากเมล็ด ใช้เป็นยา มีสารซาโปนิน คุณสมบัติล้างสิ่งต่างๆ ใช้สระผม ชำระสิ่งสกปรก เส้นผมชุ่มชื่นเป็นมัน
  4. ชุมเห็ดเทศ (Ringworm Bush) เป็นพรรณไม้ขนาดกลาง ส่วนที่ใช้ประโยชน์ได้แก่ ต้น ใบ ดอก ฝัก เมล็ด และราก ใช้เป็นยาขับพยาธิ รักษาผิวหนัง กลากเกลื้อน รักษาหูด ขับปัสสาวะ
  5. ดอกดึง (Climbing Lily) เป็นพรรณไม้เถาชนิดหนึ่ง ลำต้นเกิดจากหัวหรือเหง้า ส่วนที่ใช้ประโยชน์คือเหง้า มีฤทธิ์ในการบำบัดโรคปวดข้อ โรคเก๊า ฯลฯ
  6. หนอนตายยาก เป็นพรรณไม้ล้มลุก รากมีสารกำจัดแมลง เช่น หนอนผีเสื้อ หนอนกระทู้ แมลงวันทอง นำมาสกัดหรือบดแล้วพ่น