2554/04/30

ผิวเต่งตึงด้วยผักรสขม

ใครเลยจะคิดว่าผักขมๆ อย่างบัวบกและขี้เหล็กจะช่วยบำรุงผิวพรรณได้ วันนี้ปั้นสวยด้วยมือคุณ ไปค้นหาสูตรเด็ดที่หลายคนยังไม่เคยได้ยินมาฝาก รับรองว่าทำแล้วไม่มีอันตรายใดๆค่ะ เพราะผักสองชนิดนี้ขึ้นชื่อว่ามีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรอยู่แล้ว สรรพคุณที่ว่านั้นคืออะไร และสูตรบำรุงผิวมีส่วนผสมอะไรบ้างโปรดติดตามค่ะ

บัวบก+ขี้เหล็ก รสขมดีต่อผิว

ในบรรดาผักทั้งหลาย คาดว่าหลายคนคงจัดบัวบกและขี้เหล็กไว้ในลำดับท้ายๆของผักที่ชื่นชอบ เพราะรสขมของผักทั้งสองชนิด ทำให้เป็นผักที่ทานยากอยู่สักหน่อย โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ชอบทานผักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ลองมาฟังประโยชน์ของผักรสขมกันหน่อย เผื่อจะทำใจให้ชอบขึ้นมาได้บ้างค่ะ



เริ่มจากบัวบก ซึ่งนำมาใช้บำบัดอาการเกี่ยวกับสมองมาเป็นเวลานาน และให้ผลค่อนข้างดี จนได้ชื่อว่าเป็น "อาหารสมอง" อีกอย่างหนึ่ง เพราะคนสมัยก่อนเชื่อว่าการรับประทานบัวบกจะช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรองให้กับสมอง ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงาน ทั้งในแง่ของกำลังกาย และกำลังสมอง ทั้งยังช่วยควบคุมความดันโลหิตให้ปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่ ช่วยกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอย่างอ่อน

จากการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก พบว่าจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation) ซึ่งช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ รวมทั้งยังอุดมด้วยวิตามินต่างๆ

นอกจากนี้ยังพบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลเร่งการสร้างสาร คอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิว จึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้นระงับการเจริญ เติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดหนองและลดการอักเสบ มีรายงานการค้นพบฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา อันเป็นสาเหตุของโรคกลาก ปัจจุบัน มีการพัฒนายาบัวบกชนิดครีม ให้ทารักษาแผลอักเสบจากการผ่าตัด




ส่วนขี้เหล็ก ซึ่งส่วนใหญ่นิยมนำมาแกง ขึ้นชื่อลือชาทางสรรพคุณรักษาอาการท้องผูก และอาการนอนไม่หลับได้ดี ทั้งยังช่วยถอนพิษไข้ แก้เสมหะ และแก้รังแค ใบและดอกขี้เหล็ก มีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านให้พลังงาน เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เบต้า-แคโรทีน และวิตามินชนิดต่างๆ โดยเฉพาะดอกตูมมีวิตามินเอ และวิตามินซี ค่อนข้างสูง

ดังนั้น การนำผักรสขมทั้งสองชนิดมาเป็นสูตรบำรุงผิวหน้า ก็ด้วยเห็นข้อดีเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการช่วยระงับเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์  และประโยชน์จากวิตามินที่มีอยู่มากมาย โดยเฉพาะวิตามินซีซึ่งช่วยผลัดเซลล์ผิวให้สดใสขึ้น

สำหรับสูตรพอกหน้าที่นำมาแนะนำ  มี 3 สูตร คือ

สูตรที่ 1 ผิวสดชื่นด้วยบัวบก

ส่วนผสม
  • ใบบัวบก 1 กำมือ
  • น้ำสะอาดเล็กน้อย
วิธีทำ
  1. นำใบบัวบกมาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นรวมกับน้ำสะอาดจนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียว
  2. ล้างหน้าให้สะอาด แล้วพอกทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกว่าผิวหน้าสดชื่นขึ้น ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง

สูตรที่ 2 ผิวเต่งตึงด้วยขี้เหล็ก

ส่วนผสม
  • ยอดขี้เหล็ก 1/2 ถ้วย
  • น้ำผึ้งแท้ 1/2 ถ้วย
  • ยอดมะขาม 1/2 ถ้วย
วิธีทำ
  1. นำยอดขี้เหล็กและยอดมะขามมาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นรวมกับน้ำผึ้งแท้จนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน  จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียว
  2. ล้างหน้าให้สะอาด แล้วพอกทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกว่าผิวหน้าเต่งตึงขึ้น ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
*** เนื้อครีมที่เหลือสามารถเก็บในตู้เย็น ไว้ใช้ครั้งต่อไปได้

สูตรที่ 3 ผิวนวลเนียนด้วยขี้เหล็ก

ส่วนผสม
  • ใบและยอดขี้เหล็ก 1 ถ้วย
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • นมสด (เล็กน้อย)
วิธีทำ
  1. นำใบและยอดขี้เหล็กมาล้างน้ำให้สะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นรวมกับไข่ไก่ และนมจนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน  จะได้เป็นเนื้อครีมข้นและเหนียว
  2. ล้างหน้าให้สะอาด แล้วพอกทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกว่าผิวหน้าสดชื่นขึ้น ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
*** เนื้อครีมที่เหลือสามารถเก็บในตู้เย็น ไว้ใช้ครั้งต่อไปได้

คราวนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป ที่จะลองมาใช้ผักขมๆพอกหน้าดูบ้างค่ะ

Tip

  1. ใช้ใบบัวบกรักษาอาการเนื่องจากแมลงกัดต่อย โดยใช้ใบขยี้แล้วทา
  2. ใช้ใบบัวบกรักษาแผลสด ด้วยการตำให้ละเอียด พอกแผลวันละ 2 ครั้ง จะช่วยสมานแผล ระงับเชื้อแบคทีเรีย
  3. เมื่อนำใบขี้เหล็กมาบ่มรวมกับผลไม้จะช่วยทำให้ผลไม้สุกเร็วขึ้น
ที่มา ชีวจิต

2554/04/29

สูตรแก้หวัด

หัวหอมรักษาโรคหวัด

 

หัว หอมแดงนั้น สามารถรักษาโรคหวัดได้ มีหลายวิธีดังนี้ วิธีแรกคือทานสดๆ เลย โดยนำหัวหอมแดง ซอยเป็นแว่นบางๆ แล้วทาน วิธีที่สอง เอาหัวหอมมาทุบ แล้วสูดดมบ่อยๆ วิธีที่สาม รมไอน้ำ โดยต้มน้ำให้เดือด เอาหอมแดง ทุบพอแหลกใส่ลงหม้อ ปิดฝาหม้อให้เดือดต่ออีก5 นาที ยกหม้อลง เอาผ้าคลุมหัวและหม้อไว้ ค่อยๆ เปิดฝาหม้อสูดไอ จนกระทั่งหมดไอ

ดอกแคแก้หวัด

 

 ยอด แค มีเบต้าแคโรทีนสูงมาก ส่วนตัว ดอกแค ก็มีวิตามินซี ซึ่งช่วย แก้อาการหวัด ได้ดี แถมยังทำให้ ผิวสวย อีกด้วย ดอกแคมีรสขมเฝื่อน จะกินสดๆไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ต้องนำไปลวกโดยใช้เวลาสั้นที่สุด อย่าลืมดึงเกสรออกก่อนนะคะ เพราะเป็นส่วนที่ขมที่สุดค่ะ

ที่มาของข้อมูล : bkkmenu

2554/04/28

ลดกลิ่นปาก ด้วย "ผัก"

ปัญหา กลิ่นปาก สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ปัจจุบันก็ยังคงมีน้ำบ้วนปากต่าง ๆ มากมายหลายหลากยี่ห้อ แต่วันนี้เราจะมาแนะนำวิธี ลดกลิ่นปากด้วยผักที่ใกล้ตัวและคุณอาจคาดไม่ถึง วิธีก็สุดแสนทำง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเองค่ะรับรองว่าคุณภาพไม่แพ้น้ำยาบ้วนปากยี่ห้อต่าง ๆ แน่นอน

วิธี ลดกลิ่นปาก


การกินอโวคาโดเป็นวิธีง่าย ๆ อย่างหนึ่งค่ะที่ช่วยลดปัญหานี้ได้ เพราะเนื้อของอโวคาโดจะช่วยกำจัดอาหารที่เน่าเสียตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ซึ่ง เป็นสาเหตุสำคัญของกลิ่นปากให้หมดไป

นอกจากนี้ก็อยากให้ลองน้ำยาบ้วนปากสูตรเปรี้ยวซ่าแบบธรรมชาติดังต่อไปนี้ ส่วนผสมก็ไม่ยุ่งยากค่ะ มี

- น้ำคั้นจากขิงสด 1 ช้อนชา
- น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
- น้ำอุ่น 1 แก้ว

ผสมให้เข้ากัน กลั้วปากวันละครั้ง หลังแปรงฟันในตอนเช้า




ส่วนเรื่องการปรับระบบขับถ่ายให้สมดุลนั้น ตัวช่วยที่ดีที่สุดก็คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สุขภาพดีต้องดูแลจากภายในค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ชีวจิต

ผักคราดหัวแหวน อร่อยมีสรรพคุณ

ผักคราดหัวแหวน


ผักคราดหัวแหวน หรือ SPILANTHES AEMELLA MURR อยู่ในวงศ์ COMPO-SI TAE เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรง สูง 20-30 ซม. หรือทอดไปตามหน้าดินเล็กน้อยแต่ปลายจะชูขึ้น ลำต้นกลม อวบน้ำ เป็นสีม่วงปนสีเขียว หรือสีแดงเข้ม ลำต้นอ่อนมีขนปกคลุม ต้นเป็นข้อปล้อง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามบริเวณข้อใบเป็นรูปสามเหลี่ยม ขอบใบหยักพับ ก้านใบยาว ผิวใบสากมือ มีขน สีเขียวสด
ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง ลักษณะดอกเป็นกระจุกสีเหลือง ปลายดอกแหลมคล้ายหัวแหวน จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะดอกว่า “ผักคราดหัว-แหวน” ดอกย่อยมี 2 วง วงนอกเป็นตัวเมีย วงในเป็นดอกสมบูรณ์เพศ เวลามีดอกจะดูแปลกตามาก
ผล รูปไข่ มีเมล็ด ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ปักชำต้น โดยจะมีรากงอกออกมาบริเวณข้อ สามารถตัดเอาช่วงดังกล่าวไปปักชำได้เลย มีชื่อเรียกอีกคือ ผักคราด, ผักตุ้มหู, หญ้าตุ้มหู, ผักเผ็ด ชาวจีนแต้จิ๋วเรียกผักชนิดนี้ว่า “อึ้งฮวยเกี้ย” นิยมปลูกแพร่ หลายตามสวนยาจีน สวนยาไทย มีต้นวางขายเป็นผักสดให้คนซื้อไปรับประทานตามแผงขายผักพื้นบ้านทั่วไป ราคากำละไม่เกิน 10 บาทครับ.
คนรุ่นใหม่ น้อยคนนักจะรู้จักหรือเคยรับประทาน “ผักคราดหัวแหวน” ซึ่งผักชนิดนี้เป็นผักพื้นบ้าน นิยมรับประทานกันมาแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดแล้ว โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเอาทั้งต้นกินเป็นผักสดกับป่นปลา แจ่ว ซุบขนุน ซุบเห็ด ซุบหน่อไม้ หรือใส่แกงหน่อไม้ แกงอ่อมปลา เนื้อ หรือหมู ดับกลิ่นคาวได้ดีมาก รสชาติหอมเผ็ดปร่าชาลิ้นอร่อยมาก โดยเฉพาะดอกจะมีรสเผ็ด ใบรสหวานปนขมและเย็น เมื่อปรุงกับอาหารจะชวนให้รับประทานมาก คนโบราณนิยมเอาใบสดเคี้ยวแก้ปวดฟัน เป็นยาชาได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม “ผักคราดหัวแหวน” นอกจากจะใช้ปรุงเป็นอาหารและกินสดกับน้ำพริกชนิดต่างๆ ได้อร่อยตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว ทั้งต้นยังมีสรรพคุณทางสมุนไพรอีกด้วย โดยนำไปสกัดทำเป็นยาชา มีสรรพคุณแก้พิษตามทวาร แก้ริดสีดวงทวาร แก้ผอมเหลือง แก้เด็กตัวร้อน ต้นสดตำผสมเหล้า 40 ดีกรี หรือน้ำส้มสายชูอมแก้ฝีในคอ ต่อมน้ำลายอักเสบดีมาก แก้ไข้ แก้ปวดฟัน ทั้งต้นรสเผ็ดร้อนช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับลม และช่วยย่อยอาหารได้
นายเกษตร




2554/04/27

ใบกระเพรากระตุ้นรัก


 
ใครทราบบ้างว่า ใบกระเพรา สามารถ กระตุ้นรัก ได้ วันนี้มีความรู้เรื่องนี้มาฝากกันค่ะ... 
 

ต้นกระเพรา สมุนไพรไทยที่คุ้นเคยกันดี มีกลิ่นหอมฉุน อร่อยมากเมื่อนำมาผัดกะเนื้อหมูหรือไก่ และยังมีอีกความลับ (สุดยอด) อีกนิดที่ไม่มีใครรู้ ซึ่งใช้กันแพร่หลายในประเทศอินเดีย กล่าวกันว่า
ในประเทศอินเดีย หากโรย ใบกระเพรา แห้ง (กระเพราแดง จะมีกลิ่นฉุนกว่า กระเพราเขียว) ลงบนถ่านติดไฟแดงรุม ๆ ล่ะก็ หากหนุ่มสาวสูดดมกลิ่มเข้าไป จะช่วยเร้าอารมณ์ให้เกิดกามตัณหารุนแรงขึ้น เพราะฉะนั้นในพิธีงานแต่งงานของชาวอินเดียจึงนิยม โรย ใบกระเพรา แห้งลงบนถ่านไฟในตระกร้าถ่าน ให้กลิ่น กะเพรา โชยชวน จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม ประเทศอินเดียจึงมีประชากรมากมายนัก
นอกจากกลิ่นนี้จะส่งกลิ่นไปยังคู่บ่าวสาวแล้วยัง ส่งผลไปถึงแขกที่มางานด้วย...
 

ข้อมูลและภาพโดย

2554/04/26

ผักปลูกในเมืองสะสมตะกั่วในระดับอันตราย



เอ เอฟพี - งานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์อเมริกันระบุ ผักและสมุนไพรที่ปลูกในเมือง อาจสะสมสารพิษอย่างตะกั่ว ในระดับที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

การศึกษาของนักวิจัย จากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสต์เทิร์นยูนิเวอร์ซิตี ที่ชิคาโก สหรัฐฯ ซึ่งจะถูกตีพิมพ์ในวารสารนิวไซแอนทิสต์ ฉบับวันเสาร์ที่จะถึงนี้ (8) ทำการทดสอบผักและสมุนไพรที่ปลูกในเมือง จำนวน 17 ชนิด

พวกเขาพบว่า ระดับสารตะกั่วในหัวหอมและหัวไชเท้าแดงซึ่งถูกทำให้แห้งนั้น มักจะสูงเกิน 10 ไมโครกรัมต่อกรัม และตัวเลขนี้ยิ่งสูงขึ้นในพืชประเภทใบบางชนิด อาทิ รูบาร์บ ส่วนผักชีแห้งนั้น มีระดับตะกั่วสูงกว่า 39 ไมโครกรัมต่อกรัม

ทั้ง นี้คณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) กล่าวว่า ระดับตะกั่วที่ร่างกายจะรับได้อย่างปลอดภัย คือ 15 ไมโครกรัมต่อกรัมต่อวัน สำหรับเด็ก และ 75 สำหรับผู้ใหญ่

งานวิจัยนี้ได้ตีพิมพ์ไปในแล้วในวารสารเฉพาะทาง เดอะไซน์ออฟเดอะโททอลเอ็นวิรอนเมนท์

แหล่งที่มา »  ผู้จัดการ

2554/04/24

ริ้วรอยแตกลาย ลบได้ด้วย ว่านหางจระเข้




ใครที่มีปัญหาริ้วรอยแตกลาย ทำให้เกิดความไม่มั่นใจวันนี้เรามีวิธีดีๆ มาแนะนำกันค่ะ

ริ้วรอย อาจเกิดขึ้นมาจากการคลอดบุตรหรือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว และโดยเฉพาะกับสาวๆ ที่อายุยังน้อยแล้วเกิดปัญหาหน้าท้อง น่อง สะโพกลายกันได้

วิธีทำง่ายๆ คือ ให้ใช้วุ้นสีขาวจากว่านห่างจระเข้ที่ล้างยางออกแล้วมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็น ประจำทุกเช้า เย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อยๆ จางลงได้ เพิ่มความมั่นใจให้ อวดผิวสวยได้อย่างมั่นใจ

แต่ถ้าหากไม่มีว่านหางจระเข้ก็สามารถใช้ใบบัวบกแทนได้ โดยการนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า – เย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อยๆ จางลงได้เช่นกัน


ขอบคุณข้อมูลจาก
innnews
เครดิต http://variety.teenee.com/foodforbrain/33898.html

2554/04/23

การควบคุมแมลงศัตรูพืชแบบอินทรีย์ Organic



ก่อนอื่นต้องมาดูหลักการควบคุมแมลงศัตรูพืชผักโดยใช้สารสกัดจากพืชใน ธรรมชาติเสียก่อน โดยจำเป็นต้องรู้จักเกี่ยวกับสารเคมีในธรรมชาติว่า มีผลดีผลเสียอย่างไร แล้วนำมาปรับปรุงใช้ร่วมกันโดยไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียต่อร่างกายและผลผลิต ด้านการเกษตร

สารเคมีในธรรมชาติส่วนใหญ่ ที่เกี่ยวข้องกับการทำเกษตรออแกนิค หรือเกษตรอินทรีย์ มีดังนี้

นิโคติน (Nicotine) เป็นสารเคมีธรรมชาติที่พบในใบยาสูบใช้ป้องกันกำจัดแมลงพวกปากดูด เช่น เพลี้ย มวน ฯลฯ และใช้เป็นยารมกำจำแมลงในเรือนเพาะชำ

ทีโนน (Rotenone) เป็นสารเคมีในธรรมชาติสกัดมาจากต้นใต้ดินและรากของต้นหางไหล หรือโล่ติ้น หรือดวดน้ำ นอกจากนั้นยังสามารถสกัดได้จากรากและต้นของต้อนหนอนตายยาก (Stemona) และจากใบและเมล็ดของมันแกว มนุษย์ใช้สารโรทีโนนจากโล่ติ้น เป็นยาเบื่อปลามาตั้งแต่สมัยโบราณมีพิษน้อยต่อสัตว์เลือดอุ่น รากป่นแห้งของต้นหนอนตายอยาก สามารถกำจัดแมลงในล้าน ได้แก่ เรือด หมัด ลูกน้ำยุง และหนอนแมลงวัน และกำจัดแมลงศัตรูพืชได้แก่ ด้วงเจาะเมล็ดถั่ว หนอนกระทู้ผัก หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนใยผัก แมลงวันแตง เพลี้ยอ่อนฝ้าย หนอนกะหล่ำ หนอนแตง เป็นต้น สารทีโนนนี้เป็นสารที่มีพิษต่อระบบหายใจของสิ่งมีชีวิต แมลงที่ถูกสารนี้จะมีอาการขาดออกซิเจน เป็นอัมพาต และตายในที่สุด

ไพรีทริน (Pyrethrin) เป็นสารเคมีธรรมชาติที่มนุษย์สกัดได้จากดอกแงของไพรีทรัม ซึ่งมีสีขาวอยู่ในวงศ์ Compositae (ตระกูลเก๊กฮวยม,เบญจมาศ) ชอบขึ้นและเจริญเติบโตได้ดีในที่มีอากาศเย็น สารไพรีทรินเป็นสารฆ่าแมลงประเภทถูกตัวตาย ซึ่งเป็นพิษต่อระบบประสาทของแมลง โดยเข้าไปสกัดประจุโซเดียมบนผิวของเส้นประสาท ทำให้ระบบไฟฟ้าของเส้นประสาทหยุดชะงัก ทำให้แมลงสลบโดยทันทีและตานในที่สุด ไพรีทรินมีอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่นน้อยมากเนื่องจากสลายตัวได้รวด เร็วในร่างกายของคนและสัตว์เลี้ยง คนที่แพ้อาจมีอาการคล้ายคนเป็นโรคหอบหืด ไม่มีพิษตาค้างสลายตัวได้ดีในสิ่งแวดล้อม สารเคมีสังเคราะห์คล้ายพวกไพรีทรินทมีหลายชนิดที่มีคุณสมบัติในการกำจัดแมลง ศัตรูพืชคือ เพลี้ยอ่อน หมัดกระโดด ตั๊กแตน หนอนผีเสื้อกะหล่ำ หนอนกะหล่ำใหญ่ เพลี้ยจักจั่นฝ้าย หนอนเจาะมะเขือ และ หนอนแมลงงันเจาะต้นถั่ว
สะเดา (Azadiracgta indica) สารฆ่าแมลงมีในทุกส่วนของต้นสะเดาแต่จะมีมากที่สุดในเมล็ด แมลงที่สารสะเดาสามารถควบคุมและกำจัดได้คือ ด้วงงวงข้าวโพด หนอนเจาะสมอฝ้าย เพลี้ยอ่อนทั่วไป เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล หนอนใยผัก หนอนกระทู้ ด้วงหมัด เพลี้ยจั๊กจั่นสีเขียว หนอนแมลงวันชอนใบ ไรทั่วไป เพลี้ยกระโดดหลังขาว แมลงหวี่ขาว เต่ามะเขือ หนอนเจาะยอดกะหล่ำ เป็นต้น สารออกฤทธิ์ของสะเดาได้ แก่ azadirachtin,Salannin,Meliantriol และ Nimbin ซึ่งจะหมดฤทธิ์ในสภาพที่มีแดด ซึ่งมีรังสีอัลตราไวโอเล็ต จึงควรใช้สารสะเดากับพืชเวลาเย็น หรือตอนกลางคืน สารสะไม่เป็นอันตรายต่อแมลงพวกต่อ แตน ผึ้ง สัตว์เลือดอุ่น และมนุษย์ การใช้บดเมล็ดสะเดาให้ละเอียด ห่อด้วยผ้าขาวบาง แช่น้ำ 1 คืน ด้วย อัตราการใช้ผงสะเดา 25-30 กรัม/ลิตร หรือเมล็ดสะเดาบด 1 กิโลกรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร แช่น้ำเป็นเวลา 1-2 คืน แล้วกรองเอากากออก ใช้ฉีดพ่นป้องกันกำจัดแมลงได้ โดยนำไปฉีดพ่นเพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืชได้เลย ควรผสมยาจับใบทุกครั้งที่มีการฉีดพ่น

http://www.kasetorganic.com

2554/04/21

วิธีทำสบู่สมุนไพรไทยเดิม ทำง่าย ประหยัดตังค์!






สูตรสบู่ สมุนไพรขมิ้นชันจากชาววัง
สูตรนี้เป็นการนำเอาเหง้าของขมิ้นชันมาผสมผสานเข้าไปในเนื้อของสบู่ที่ทำ ขึ้น การนำเอาเหง้าขมิ้นชันมาเป็นส่วนผสมสำคัญของสมุนไพรนี้ สืบทอดองค์ความรู้ที่สะสมมาจากบรรพบุรุษไทยเรา การเอาเหง้าขมิ้นชันมาเป็นยาธรรมชาติบำรุงผิวพรรณ ช่วยสร้างความสะอาดหมดจดแก่ผิวหนังของคนเรา สร้างความนุ่มนวลและขจัดความหม่นหมองของผิวกาย ฆ่าเชื้อรา เชื้อโรค ที่มาอยู่กับผิวหนังให้หมดไป สร้างความสดชื่นให้เกิดขึ้น สบายเนื้อสบายตัวอย่างดีมาก สบู่สมุนไพรขมิ้นชันจึงมีคุณภาพที่ดีเยี่ยมอีกอย่างหนึ่ง

ส่วนผสมของสบู่สมุนไพรขมิ้นชัน จากชาววัง

* น้ำสมุนไพรเหง้าขมิ้นชันข้มข้น 450 กรัม
* โซเดียมไฮดรอกไซด์บริสุทธิ์ 180 กรัม
* น้ำมันมะพร้าว 360 กรัม
* น้ำมันมะกอก 630 กรัม
* น้ำมันรำข้าว 420 กรัม

วิธีทำสบู่สมุนไพรขมิ้นชัน จากชาววัง

* เริ่ม ต้นจากการนำเอาน้ำมันมะพร้าวมารวมกับน้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว มาผสมรวมกันทั้งหมดในภาชนะ คนให้ละลายรวมเข้าด้วยกันทั้งหมด จึงเอาไปต้มจนกระทั่งอุณหภูมิความร้อน 100 องศาฟาเรนไฮต์ ยกเอาลงมาพักไว้ก่อน
* ต่อ มาก็เอาโซเดียมไฮดรอกไซต์อย่างระมัดระวังอย่างมาก เพราะเป็นด่างที่เข้มข้นร้อนแรงมาก เอาโซเดียมไฮดรอกไซต์ค่อย ๆ ใส่ลงไปในภาชนะสเตนเลสสตีลที่มีน้ำสมุนไพรขมิ้นชันเข้มข้นทีละเล็กที่ละน้อย คนให้ละลายเข้าด้วยกันทั้งหมด
* ลำดับ ต่อมาเอาโซเดียมไฮดรอกไซต์ที่ผสมกับน้ำสมุนไพรขมิ้นชันเข้มข้นมาค่อย ๆ เทลงไปในน้ำมันที่ผสมรวมกันอยู่ คนให้เข้าด้วยกัน คนให้เข้ากันให้ดีที่สุด เมื่อรวมตัวกันอย่างดีแล้วจะสังเกตุเห็นว่ามีลักษณะที่เหนียวข้นมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือเนื้อสบู่สมุนไพรนั่งเอง
* เอามาเทในแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้ ถ้าทำใช้เองไม่ต้องมีแม่พิมพ์ก็เอามาใส่ลงไปในถาด แล้วเอามาตัดเป็นก้อนเป็นแผ่นทีหลัง
* ปล่อย เอาไว้เฉย ๆ ในห้องที่มีอุณหภูมิตามธรรมดาประมาณ 1 วัน 1 คืน หรือประมาณ 24 ชั่วโมง จึงเอาออกมาจากแม่พิมพ์ได้ เอาวางเรียงไว้เฉย ๆ หาอะไรคลุมไว้ด้วยเพื่อไม่ให้กลิ่นหอมของของขมิ้นชันระเหิดออกไปมาก และจะต้องปล่อยทิ้งเอาไว้ประมาณ 45วัน เพื่อให้เนื้อสบู่แข็งตัวคงที่นั่งเอง
* นำสบู่ที่ได้มาห่อด้วยกระดาษแก้วหรือพลาสติก หรือใส่กล่องพร้อมใช้

ข้อควรระวังและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการทำ
สบู่สมุนไพรขมิ้นชัน จากชาววัง

* การ ทำสบู่สมุนไพรขมิ้นชัน ควรระมัดระวังในเรื่องของการเอาโซเดียมไฮดรอกไซต์มาผสมกับน้ำ เพราะจะเกิดความร้อนแรงพลุ่งพล่านจนน้ำเดือดขึ้นมา เนื่องจากโซเดียมไฮดรอกไซต์มีฤทธิ์เป็นด่างอย่างแรงมากนั่งเอง ค่อย ๆ ผสมที่ละเล็กที่ละน้อย อย่าทำด้วยความประมาณหรือไม่ระมัดระวังตัวเอง หรือเด็กที่อยู่ใกล้ ๆ สารเคมีตัวนี้ และควรเก็บให้ห่างจากเด็ก ๆ
* ควร สวมถุงมือยางป้องกัน และสวมรองเท้ายางหุ้มมาถึงแข้งป้องกันเอาไว้ ต้องปิดปากและจมูกด้วยหน้ากากป้องกันกลิ่นและไอระเหยที่ออกมาจากสารเคมีอัน เป็นด่างอย่างแรงนี้ด้วย ควรสวมแว่นตาเอาไว้ด้วย เพื่อป้องกันการกระเด็นของสารเคมีที่อาจจะเกิดขึ้น
* ต้อง เอาขวดน้ำส้มสายชู ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดวางไว้ใกล้ ๆ เพื่อใช้การได้ทันทีทันใด ถ้าโซเดียมไฮดรอกไซต์กระเด็นมาสัมผัสผิวกายหรือหกรดราดไปที่เท้า ขา แขน ฯลฯ หากเกิดอันตรายเช่นนี้ขึ้นมา ต้องรีบเอาน้ำส้มสายชูกลั่นนี้ราดลงไปในบริเวณที่ถูกสารเคมีอันมีฤทธิ์เป็น ด่างอย่างแรงทันทีเพื่อขจัดอาการร้อนแรงนั้นลง
* หลังจากการใช้น้ำส้มสายชูแล้ว หากปวดแสบปวดร้อนมาก ควรรีบไปหาแพทย์ในทันที


วิธีการทำน้ำขมิ้นชันเข้มข้น
นำเหง้าขมิ้นชันมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ให้ได้ปริมาณ 500 กรัม ล้างให้สะอาดแล้วใส่ลงไปในน้ำสะอาด 7 ถ้วยตวง นำไปต้มเคี่ยวจนเหลือน้ำสมุนไพรขมิ้นชันที่เข้มข้นเพียง 2 ถ้วยตวง เราก็จะได้น้ำขมิ้นชันเข้มข้นพร้อมที่จะนำไปผสมการทำสบู่

สรรพคุณของขมิ้นชัน
ขมิ้นชันเป็นพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมใช้กันมาช้านานแล้วและนำมาแปรรูป เป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพต่าง ๆ อย่างมากมาย ทั้งในรูปแบบของยา ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สีผสมอาหาร สีย้อมผ้าและเตรื่องสำอาง ตลอดจนผลิตภัณฑ์ของน้ำมันหอมระเหย และยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง เช่น ฤทธิ์ในการช่วยรักษาอาการอาหารไม่ย่อย ลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดการอักเสบ ฯลฯ ทำให้สมุนไพรนี้ได้รับความสนใจทั้งจากชาวไทยและต่างประเทศอย่างมาก

แนะนำเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ขมิ้นชัน พืชน้ำมันหอมระเหยที่มีศักยภาพของไทย
มหัศจรรย์สมุนไพรกลิ่นหอมธรรมชาติสู่กลิ่นบำบัดในอโรมาเทอราปี

เรียบเรียงสูตรและวิธีการทำ
สบู่สมุนไพรขมิ้นชัน จากชาววัง
โดยกองบรรณาธิการ
www.YesSpaThailand.com

2554/04/20

พืช ผัก อาหารเสริม วิตามินและสมุนไพรสำหรับรักษาโรคเส้นเลือดขอดและริดสีดวง

ปัจจุบันคนไทยส่วนมากมีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับ
เส้นเลือดขอดและริดสีดวงทวาร ทั้งนี้เนื่องจาก
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินอาหารที่นิยม
อาหารพวกฟาสฟูดที่มีเส้นใยอาหารน้อย ทำให้เกิด
ความผิดปกติของระบบขับถ่าย คือไม่ค่อยถ่ายหรือหลาย
วันถึงจะถ่าย อาชีพที่ทำเช่นเป็นพนักงานขายในห้าง
ร้านค้า หรือพ่อครัวแม่ครัว ที่ต้องยืนในการทำงานส่วนมาก
ทำให้นำหนักเลือดหนักขึ้น จนปั้มกลับไม่ขึ้นหัวใจเกิดเป็น
เส้นเลือดขอด พืช ผัก อาหารเสริม วิตามินและสมุนไพร
ที่จะแนะนำให้รู้จักเพื่อรักษาโรคเส้นเลือดขอดและ
ริดสีดวงได้แก่
-ลูกเกาลัด สับปะรดและใบบัวบก มีสารเอ็นไซม์"Bromelain"
ที่ป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวเป็นก้อนที่ขาและทวาร
-ควรรับประทาน อาหารเสริม วิตามินซีและกระเทียม
เพื่อป้องกันเส้นเลือดเปราะ วิตามินอี วิตามินบีรวม
และใบแปะก้วยเพื่อให้เลือดไหลเวียนสะดวกขึ้นและ
ไม่เกาะตัวเป็นเกล็ดเม็ดเลือดและสารธาตุทองแดง
ซึ่งร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยใหโมเลกุล
เนื้อเยื่อเกาะตัวกันติดแน่นขึ้น
เอกสารอ้างอิง
-วิชัย คงสุวรรณ"วิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็น"2544,หน้า 123

2554/04/17

น้ำดื่มสมุนไพรไทยคลายร้อน

'ตรีผลา' สูตรสมุนไพรต้านชรายับยั้งมะเร็ง

 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า จากการสำรวจสมุนไพรที่มีการจดแจ้งทะเบียนตำรับยาทั่วประเทศ พบว่ามีสมุนไพร 1,927 ตำรับ ที่มีสรรพคุณใช้ในการรักษาโรคมะเร็งทั้งมะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งปากมดลูกมะเร็งปอด จึงสั่งการให้คัดเลือกสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษามะเร็งทั้งหมดเพื่อแยก ออกเป็นกลุ่มๆ ว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งชนิดใดได้บ้าง

จาก นั้นจะมีการเชิญผู้รู้มาสังคายนาสมุนไพร เพื่อพิจารณาในส่วนของสมุนไพรแต่ละกลุ่มว่ามีสรรพคุณรักษามะเร็งได้จริงหรือ ไม่ โดยคาดว่าจะมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาประชุมภายใน 1-2 เดือนนี้ ซึ่งจะเริ่มพิจารณาจากสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านมก่อน เพราะจากการพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกลุ่มที่ใช้สมุนไพรไม่ซับซ้อน และจะใช้ประโยชน์ได้ดี และเมื่อมีการพิจารณาสมุนไพรทุกกลุ่มเสร็จแล้ว ก็จะมีการพิจารณาว่ามีชนิดใดบ้างต้องขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา (อย.) ต่อไป

 พญ.วิลาวัณย์กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการนำสมุนไพรมารักษาโรคมะเร็งเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติก็เริ่มเปิดใจ และยอมรับ ซึ่งทางกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ก็มีการส่งเสริมสมุนไพรที่ผ่านการวิจัยรับรองแล้วว่ามีสรรพคุณที่จะรักษา มะเร็งได้จริงด้วย ซึ่งในขณะนี้ก็กำลังส่งเสริมให้มีการดื่มน้ำตรีผลา เนื่องจากพบว่าเป็นสูตรสมุนไพรที่มีประโยชน์มาก โดยมีส่วนผสมจากสมุนไพร 3 ชนิด คือ มะขามป้อมสมอไทย และสมอพิเภก ซึ่งสรรพคุณของตรีผลานี้จะช่วยในการเสริมภูมิต้านทาน เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นหวัดบ่อยๆ ทั้งยังมีสรรพคุณในการชะลอความชราด้วย ที่สำคัญยังพบว่าตรีผลา มีสรรพคุณในการยับยั้งและต้านเซลล์มะเร็งได้ รวมทั้งในกรณีที่หากเกิดเซลล์มะเร็งขึ้นมาแล้ว ยังมีผลทำให้เซลล์มะเร็งโตช้าอีกด้วย เรื่องนี้ยืนยันได้จากผลวิจัยทั้งของคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 "สำหรับผู้ที่สนใจน้ำตรีผลาสามารถนำไปต้มดื่มเองได้ โดยตวงสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดอัตราส่วน สมอพิเภก 100 กรัม สมอไทย 200 กรัม มะขามป้อม 400 กรัม จากนั้นนำสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด ใส่หม้อผสมน้ำ 6 ลิตร ตั้งไฟต้มเดือด 30 นาที เติมน้ำตาลทราย 600 กรัมเกลือ 1 ช้อนชา หากเข้มข้นเกินไปให้เติมน้ำสุกเพิ่มได้ ปรุงรสชาติที่ชอบ กรองผ่านผ้ากรองหรือกระชอน ใส่ภาชนะ สำหรับเตรียมดื่ม ดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น แทนเครื่องดื่มทั่วไปเช้า กลางวัน เย็น ซึ่งหากดื่มมากก็ไม่พบอันตรายใดๆ" อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

2554/04/07

ประโยชน์ใกล้ตัว พืชผักสวนครัวใกล้บ้าน

ที่ จริงแล้วผักสวนครัวทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น โหระพา ขิง ข่า ตะไคร้ หรือใบสระแหน่ ก็ล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น โดยเฉพาะสรรพคุณทางยาของความเป็นสมุนไพรไทยที่ใครได้ยินแล้วจะต้องบอกว่า สุดยอด เสมอ ว่าแล้ววันนี้ก็เลยอยากให้คุณๆ ได้รู้จักกับประโยชน์ของพืชผักสวนครัวเหล่านี้กัน

สมัยเด็กมักจะโดนคุณแม่ใช้ให้ไปเก็บพืชผักสวนครัวหลังบ้านบ่อยๆ บ้านหลังเล็กๆ ของเรามีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับปลูกผักสวนครัวไว้ปรุงอาหารกินเอง แต่หลังจากย้ายตัวเองมาฝังตัวอยู่ที่เมืองหลวง ก็มได้มีพืชผักสวนครัวส่วนตัวไว้กินอีกเลย

• โหระพา
โหระพาเป็นผักที่มีกลิ่นแรงบางคนบอกว่าหอม บางคนว่าฉุน แต่ไม่ว่าจะหอมหรือฉุน โหระพาก็เป็นส่วนประกอบในเมนูอาหารไทยมานานนม รวมทั้งมีสรรพคุณทางยามากกว่าที่เราเคยรู้จักเยอะเลย ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจถ้าโหระพาจะเป็นผักชูรส และอยู่ในอาหารอย่างแกงเผ็ด แกงเขียวหวาน เป็นต้น

สารอาหาร
โหระพาที่ใครบางคนว่าฉุน ที่จริงแล้วเป็นผักที่มีสารอาหารด้วยนะ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน

สรรพคุณทางยา
คุณสมบัติทางยาของโหระพาท่ฃี่สุดยอดมากๆ ก็คือ ช่วยย่อยอาหารแก้การจุกเสียด แน่นท้อง เพราะสามารถช่วยขับลมในลำไส้ได้ แต่สำหรับคนที่เกลียดโหระพาเข้าไส้ คุณอาจจะแอบปลื้มที่ได้รู้ว่าผักสวนครัวอย่างโหระพาไม่ได้มีดีแค่ใบ แต่เมล็ดยังสามารถนำมาแช่น้ำให้พองรับประทานเป็นยาแก้บิดได้ด้วย

ทราบหรือไม่•โหระพารักษาโรคเข่า เสื่อมได้ ตำราแพทย์ระบุว่าให้นำต้น ใบและรากโหระพามาตำพอละเอียด ใส่เหล้าขาว 40 ดีกรีเล็กน้อย คนให้เข้ากันแล้วนำไปตั้งไปแค่พอร้อน ทิ้งไว้ให้อุ่น จากนั้ก็นำไปพอกเข่าประมาณ 10-15 นาที ทำวันละ 1-2 ครั้ง แล้วอาการจะค่อยทุเลาลง
•โบราณว่าโหระพาเป็นยาบำรุงทางเพศด้วยนะ



•ขิง
ขิงเป็นเครื่องเคียงอย่างหนึ่งในเมนูอาหารไทย แต่หลายคนส่ายหน้าเวลาเห็นขิง ส่วนหนึ่งก็เพราะกลิ่นแรงเหลือกำลัง ดังนั้นจึงเลี่ยงด้วยการเขี่ยขิงทิ้งไว้ข้างๆ จาน แต่ต่อไปนี้ถ้าอยากได้ประโยชน์มากมายจากอาหารการกิน ลองชิมขิงดูสักครั้ง

สารอาหาร
ขิงประกอบไปด้วยสารอาหารสำคัญคือ โปรตีน คาร์ดบไฮเดรต ไขมัน แคลเซียม วิตามินเอ

สรรพคุณทางยา
ประโยชน์อย่างหนึ่งที่เราจะได้จากการใช้เหง้าขิงแก่ทุบหรือบดเป็นผง แล้วชงน้ำดื่มก็คือ แก้อาหารคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด และแน่นเฟ้อ

นอกจากนี้ขิงยังมีประโยชน์ทุกส่วน ตั้งแต่
ราก – ช่วยให้เจริญอาหาร แก้ลม แก้เสมหะ และแก้บิด
ต้น – ช่วยขับให้ผายลม แก้จุกเสียด แก้ท้องร่วง
ผล – แก้คอแห้ง เจ็บคอ แก้ตาฟาง เป็นยาอายุวัฒนะ
ใบ – แก้ฟกช้ำ แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะขัด แก้โรคตา ฆ่าพยาธิ
ดอก – ช่วยย่อยอาหาร แก้ปัสสาวะขัด แก้โรคประสาทที่ทำให้ใจขุ่นมั่ว

ทราบหรือไม่•ขิงแก้ผมร่วง ตำราระบุว่า ให้ใช้เหง้าขิงสดมาผิงไฟพออุ่น จากนั้นให้ตำแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีผมร่วง ทำแบบนี้ประมาณ 3 วัน วันละ 2 ครั้ง ถ้ายังไม่ได้ผลให้ทำต่อไป
•ขิงกำจัดกลิ่นกาย ถ้ารักษากลิ่นเหงื่อใต้วงแขนมาหลากหลายวิธีแล้วแต่ยังช่วยไม่ได้ ลองใช้เหง้าขิงแก่ โดยทุบแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาทาใต้วงแขนทุกวัน จะช่วยกำจัดกลิ่นกายได้ชะงัด
•ขิงแก้ปากเหม็น โดยให้คั้นน้ำขิงผสมน้ำอุ่น เติมเกลือเล็กน้อย แล้วกลั้วปาก ฆ่าเชื่อโรค



•ข่า
ถ้าหยิบขึ้นมาเคี้ยวกันสดๆ ก็คงจะไม่ปลื้มนัก ข่าเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องเทศที่ใช้ปรุงอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวจาก เนื้อสัตว์ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงเอร็ดอร่อยกับเมนูโปรดอย่างต้มข่าไก่กันนัก แต่หน่อข่าอ่อนสามารถเป็นเครื่องเคียงแสนอร่อยในเมนูน้ำพริกแบบไทยๆ ได้ด้วยนะ

สารอาหาร
สารอาหารที่จะได้จากข่าคือ คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส แคลเซียม สฃวิตามินซี

สรรพคุณทางยา
ประโยชน์จากคุณสมบัติทางยาของข่า ให้ใช้เหง้าสดดำดให้ละเอียดผสมกับน้ำปูนใส แล้วรับประทานครั้งละครึ่งแก้ว จะช่วยขับลมแก้มฃท้องอืด ท้องเฟ้อท้องเดิน และบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้

ทราบหรือไม่ว่า•ประโยชน์อื่นๆ ที่ได้จากข่านอกเหนือจากการรับประทานอาหาร ได้แก่ ใช้รักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อนและแก้ลมพิษ โดยใช้เหง้าสดตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าขาวทาบริเวณที่เป็นจนกว่าจะดีขึ้น
•ใช้ข่าไล่แมลงได้ด้วย โดยนำเหง้ามาทุบหรือตำให้ละเอียด เพื่อให้น้ำมันหอมระเหยออกมา แมลงก็จะไม่กล้ามาแหยมอีกแล้ว 


ที่มา http://sakaeo.nfe.go.th

อาหารอินทรีย์ ใช้ฉี่คนได้ผลดี

คนเอเชียใช้ ปัสสาวะ(ฉี่)เป็นปุ๋ยมานานแล้ว ถ้าเราปลูกพืชสวนครัวมีของใช้แล้วที่จะนำมาทำเป็นปุ๋ยได้ง่ายๆ คือ น้ำซักผ้า(ถ้าซักผ้าแล้วสีไม่ตก) น้ำล้างจาน น้ำอาบ น้ำสระผม และฉี่ของเรา
ผง ซักฟอกส่วนใหญ่มีเกลือฟอสเฟต(สารประกอบฟอสฟอรัส / K) น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน น้ำสระผม และน้ำสบู่ส่วนใหญ่มีเกลือซัลเฟต(สารประกอบกำมะถัน / S) น้ำสระผม... ถ้าใช้แชมพูชนิดป้องกันรังแคบางชนิดมีธาตุสังกะสี (Zn)... เมื่อนำมาเจือจางแล้ว จะใช้เป็นปุ๋ยชั้นดีได้ทันที
...
ท่านรองศาสตราจารย์ ดอกเตอร์อารัฐ ตันโซ ผู้เชี่ยวชาญการผลิตปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า ฉี่คนมีธาตุอาหารที่พืชต้องการ เช่น ไนโตรเจน โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส ฯลฯ และธาตุอาหารรองอย่างครบถ้วน
นักวิจัยจากจีนทำการศึกษาหาความเข้มข้นที่เหมาะสมในการใช้ฉี่บำรุงข้าวโพดหวานพบว่า 40% นี่กำลังดี
...
ที่ดีไปกว่านั้นคือ ไม่ทราบฉี่คนมีดีอะไร พอใช้รดต้นไม้แล้ว พืชจะแข็งแรง แมลงไม่ค่อยรบกวน และไม่ทำให้เกิดเชื้อก่อโรคด้วย
การ ศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า อาหารที่ปลูกแบบอินทรีย์(ออร์แกนิค) หรือการเพาะปลูกแบบไม่ใช้สารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ย ฯลฯ มีคุณค่าทางอาหาร และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าการเพาะปลูกแบบใช้สารเคมี
...
ถ้าพวกเรา พอจะมีที่ทำแปลงผักสวนครัว... เรียนเสนอให้ปลูกพืชสุขภาพชั้นนำ เช่น พริก ใบกะเพาะ กล้วย มะละกอ ฯลฯ ปลูกแล้วอย่าลืมนำฉี่เจือจางรดแทนปุ๋ย ไม่นานคงจะได้อาหารอินทรีย์ปลอดสารพิษไว้กินเป็นประจำ
ถ้า อยากเสริมธาตุสังกะสีหรือซิ้งค์ (zinc / Zn)... เรียนเสนอให้ใช้แชมพูกันรังแคชนิดมีสารซิ้งค์ ไพริไธออน เวลาสระผมให้ทิ้งแชมพูไว้บนหัว 5 นาที อย่าล้างออกทันที จึงจะกันรังแคได้ดี
...
ก่อนสระอย่าลืมนำกาละมังมารองน้ำแชมพู เก็บไว้รดพืชสวนครัว ต้นไม้จะดูดซับธาตุสังกะสี ทำให้ได้อาหารเสริมแบบไม่ต้องกินสารอัดเม็ด
ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
ที่มา                                                              
  • ขอ ขอบพระคุณ > ท่านอาจารย์ดอกสะแบง > ปลูกพืช... ใช้ฉี่คนแทนเคมี > หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน > ไทยรัฐ. 1 พฤศจิกายน 2550. หน้า 7.
  • ขอขอบพระคุณ > อ.ณรงค์ ม่วงตานี + ทีม IT โรงพยาบาลค่ายสุรศักดิ์มนตี > ช่วยเหลือด้าน IT.
  • นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ > 31 ตุลาคม 2550.

2554/04/06

ผักชีโรยหน้าช่วยระบายแก้ท้องอืดได้ดี


   ผักชี ผักที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว  จึงมีการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหาร เพื่อทำให้อาหารมีกลิ่นหอม และด้วยสีที่เขียวสด และรูปร่างของใบ ที่มีความโดดเด่น ผักชีจึงยังทำหน้าที่ในการเป็นผักแต่งจานอาหาร ให้ชวนทาน จนหลายคนมีคำพูดที่ติดปากว่าผักชีโรยหน้า (หมายถึง โรยผักชีให้ดูสวยไว้ก่อน แต่รสชาติ ค่อยว่ากันทีหลัง)  ส่วนใหญ่เราจะใช้ส่วนต้น ผลและรากของผักชีในแพทย์แผนโบราณ เรามีการใช้ผักชีที่น่าสนใจไม่น้อย เช่น ทั้งต้นนำมาต้ม หรือคั้นเฉพาะน้ำดื่ม มีสรรพคุณเป็นยาช่วยระบาย แก้หัดหรือผื่น ขับเหงื่อ ขับลม ท้องอืดท้องเฟ้อ , ผลแห้ง บดเป็นผง ต้มกับน้ำดื่ม ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ทำให้เจริญอาหาร แก้หัด แก้บิด หากเป็นริดสีดวงทวาร ให้นำผลไปคั่ว แล้วบดทาผสมกับเหล้า ทาวันละ 3-5 ครั้ง , บิด ถ่ายเป็นเลือด ใช้ผล 1 ถ้วย ชาตำละเอียด ผสมน้ำตาลทราย ทาน ,มีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ใช้ผล 2 ช้อนชา ต้มผสมน้ำดื่ม,  เด็กเป็นผื่นแดง ไฟลามทุ่ง ( Erysipelas ) ให้ใช้ผักชี ตำพอก , ปากเจ็บ คอเจ็บ ปวดฟัน เอา เมล็ดมาต้มกับน้ำ ต้ม 5 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน เอามาอมบ้วนปาก  ข้อมูลทางเภสัชวิทยา พบว่า ผลที่แก่จะเป็นเครื่องเทศ ที่มีกลิ่นหอม เราจะใช้ผสมกับยาอื่น จะช่วยกระตุ้มต่อมในกระเพาะอาหารและลำไส้เพื่อที่จะให้ขับสารออกมามากขึ้น หรือน้ำดีมากขึ้น ทั้งนี้ การทานผักชี ยังมีข้อห้าม คือ อย่าทานมากเกินไป เพราะจะทำให้มีกลิ่นตัวแรง มีอาการตาลายและลืมง่ายได้







ที่มา : หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย โดย คเนพร  พิทักษ์พงค์

2554/04/02

ดูแลสุขภาพ แบบไทย

กรมพัฒนาการแพทย์แผนโบราณ กระทรวง สาธารณสุข แนะ หนาวนี้ใช้สมุนไพรใกล้ตัวดูแลสุขภาพ ผักพื้นบ้าน อาหารเป็นยา ภูมิปัญญาแผนไทย ป้องกันโรค เสริมภูมิต้านทาน ต้านโรคหน้าหนาว

ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รมช.สาธารณสุข เปิดเผยว่า อากาศเริ่มเปลี่ยนจากฤดูฝนเป็นฤดูหนาวแล้ว โบราณเรียกว่า ปลายฝนต้นหนาว คนมักจะเจ็บป่วยเป็นไข้หัวลมตามภาษาโบราณ โรคนี้มักจะมีอาการเช่น ไอ มีไข้ เป็นหวัด ปอดบวม ท้องเสีย เป็นต้น จึงอยากแนะนำให้ประชาชนนำศาสตร์การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านไทย มาใช้ดูแลสุขภาพ

อาจจะใช้รสชาติของอาหารมาปรับสมดุลของร่างกายให้ พร้อมรับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง อาทิ รสเปรี้ยว จะช่วยขับเสมหะ รสขม จะช่วยเจริญอาหารทำให้หลับได้ รสเผ็ดร้อน จะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ขับลม ทั้ง 3 รส หาได้ในอาหารที่รับประทานแต่ละมื้อ ผักพื้นบ้าน อาหารเป็นยา ภูมิปัญญาแผนไทยใช้ป้องกันโรค เสริมภูมิต้านทาน

การบริโภคอาหาร การสัมผัสรสชาติของอาหารจึงเป็นพฤติกรรมที่ทุกคนได้รับ ดังนั้น ช่วงหน้าหนาวควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ เน้นรสเปรี้ยวอมขมเล็กน้อย และรสเผ็ดร้อน เช่น ต้มยำต่างๆ ซึ่งในส่วนประกอบต้มยำ จะมีสมุนไพรรสเผ็ดร้อน ได้แก่ ขิง ข่า ขมิ้น ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก กะเพรา หอม กระเทียม เป็นต้น

นอกจากนี้ แกงขี้เหล็ก สะเดาต้มจิ้มน้ำปลาหวาน รสขมของสะเดาช่วยให้เจริญอาหาร นอนหลับสบาย หรือ ยำดอกแค แกงส้มดอกแค ดอกแคต้มจิ้มน้ำพริก สรรพคุณดอกแคช่วยแก้ไข้เปลี่ยนฤดู เปลือกนำมาต้มคั้นน้ำแก้ท้องร่วง แก้บิด แก้มูกเลือด คุมธาตุ

น้ำพริกมะเขือพวง หรือ ยำมะเขือพวง สรรพคุณมะเขือพวง ขับเสมหะ ช่วยย่อยเพราะมีเส้นใยสูงมาก เป็นต้น จะเห็นว่าธรรมชาติจะจัดสรรพืชผักสมุนไพรที่เหมาะสมกับฤดูกาลอยู่แล้ว ช่วงนี้ท่านจะเห็นว่าในตลาดจะมีผักดังกล่าวจำนวนมาก หากปลูกที่บ้านก็จะเห็นออกดอก ออกผลจำนวนมากเช่นกัน โบราณจะกล่าวเสมอว่า ดอกแคจะช่วยแก้ไขหัวลม หมายถึงช่วงปลายฝนต้นหนาวนี่เอง

ส้มตำ จะได้คุณค่าทางอาหาร และสรรพคุณทางยา ได้แก่ 1.มะละกอ ผลดิบ ต้มกินเป็นยาบำรุงน้ำยมขับพยาธิ แก้บิด แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยย่อยอาหาร ขับน้ำดี น้ำเหลือง 2.มะเขือเทศรสเปรี้ยว เป็นผักที่ใช้แต่งสีและกลิ่นอาหาร ช่วยระบายบำรุงผิว 3.มะกอก รสเปรี้ยว ฝาด หวาน แก้โรคธาตุพิการ เพราะน้ำดีไม่ปกติ แก้บิด แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน ผลสุกทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ 4.พริกขี้หนู รสเผ็ดร้อน ช่วยเจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อย 5.กระเทียม รสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคผิวหนัง น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรียและไวรัส ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในหลอดเลือด 6.มะนาว เปลือกผลรสขมช่วยขับลม น้ำในลูกรสเปรี้ยว แก้เสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต 7.ผักแกล้มต่างๆ ถั่วฝักยาว และกะหล่ำปลี ช่วยกระตุ้นการทำงานของกระเพาะลำไส้ บำรุงธาตุดิน ผักบุ้ง รสจืดเย็น ต้มกินใช้เป็นยาระบาย ทำให้อาเจียน เนื่องจากพิษของฝิ่นและสารหนู กระถิน รสมัน แก้ท้องร่วง สมานแผล ห้ามเลือด ถ่ายพยาธิ มะยม ใบต้มกิน เป็นยาแก้ไอ ช่วยดับพิษไข้ บำรุงประสาท ขับเสมหะ บำรุงอาหาร แก้พิษไข้อีสุกอีใส โรคหัดเลือด
ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก