2554/05/02

10 สมุนไพรจีนบนพื้นบ้านไทย หาง่าย ดีต่อสุขภาพด้วย

  คนไทยเรามีคำสุภาษิต "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" แต่ถ้าเป็นตำรับจีนแล้ว อาหารทุกอย่างคือยาบำรุงร่างกายทั้งนั้นหากเรารู้จักและใช้อย่างถูกต้อง และ 10 อย่างนี้คืออาหารที่คนไทยเรารู้จักกันดี แต่คุณจะรู้มั้ยถึงสรรพคุณของมัน?

1. เห็ดหลินจือ
          ในปี 2003 การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Ethnopharmacology ยืนยันว่าเห็ดหลินจือโดดเด่นในสรรพคุณของสารต้านอนุมูลอิสระ ผู้ป่วยเอดส์และมะเร็งบางรายจึงใช้เห็ดหลินจือในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เร่งการผลิตเม็ดเลือดขาว บรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบในผู้ชาย และอาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตหรือแพร่กระจายของเนื้องอกในร่างกาย อย่างไรก็ดี เห็ดหลินจืดมีผลข้างเคียงที่ต้องระวัง เช่น อาจทำให้คลื่นเหียน คัน และหากกินมากเกินไป อาจกระตุ้นอาการบ้านหมุนก็ได้


2. เก๋ากี้
          มีชื่ออินเตอร์ว่า "โกจิเบอร์รี่" (แต่คนไทยอาจจะคุ้นเคยกับชื่อภาษาจีนมากกว่า) เห็นเล็ก ๆ อย่างนี้ แต่ก็เต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ใยอาหาร แคลเซียม โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี ซีลีเนียม วิตามินบี 2 วิตามิน และยังมีกรดไขมันโอเมก้า-3 อีกด้วย แม้โดยรวมจะไม่มีการพิสูจน์ทางคลินิก แต่ก็เชื่อกันว่าเก๋ากี้มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะชั้นเลิศ


3. เกาลัดจีน
          เกาลัดต่างจากถั่วหรือเมล็ดพืชอื่น ๆ ตรงที่มันมีไขมันน้อยมาก แต่กลับเป็นถั่วชนิดเดียวที่มีวิตามินซี เทียบเท่ากับมะนาว แน่นอนว่ามันเป็นพืชจึงไม่มีคอเลสเตอรอล เกาลัดจีนมีสารอาหารคล้ายข้าวกล้อง จึงมีคำกล่าวว่ามันคือ "ธัญพืชที่เกิดบนต้นไม้" ด้วย ความที่มันมีกรดโฟลิก วิตามินซี และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มันจึงเป็นหนึ่งในอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายได้ดีที่สุด นอกจากนี้ ชาวจีนโบราณยังเชื่อว่าเกาลัดจะช่วยให้ลมหายใจหวานสดชื่นอีกด้วย


4. เก๊กฮวย
          ชาเก๊กฮวยถูกใช้เป็นยาพื้นบ้านมานานในฐานะยาลดไข้ โดยมีสารอาหารทั้งวิตามินเอ วิตามินบี1 กรดอะมิโน ฟลาวานอยด์ เชื่อกันว่ามันจะช่วยลดความดันโลหิตสูง ลดคอเลสเตอรอล "เลว" และบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก นอกจากนี้ การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Ethnopharmacology ก็ยังเปิดเผยว่ามันมีสรรพคุณช่วยปกป้องระบบประสาทจากความแก่ชราหรืออาการบาด เจ็บต่าง ๆ ดังนั้น เป็นหนุ่มสาวก็ดื่มได้ประโยชน์ดีเช่นกัน

          Tip : เปลี่ยนจากชาฝรั่งมาดื่มชาเก๊กฮวยกันบ้าง โดยนำดอกเก๊กฮวยแห้งแช่ในน้ำร้อนประมาณ 5 นาที ก็จะได้ชาเก๊กฮวยสีเหลืองที่หอมกลิ่นดอกไม้


5. แปะก๊วย
          เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหับสุภาพสตรีที่กำลังเข้าสู่วัยทอง เนื่องจากมันมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งอาจช่วยทำหน้าที่แทนฮอร์โมนที่ไม่สมดุลได้ นักวิจัยจึงเชื่อว่ามันมีสรรพคุณบรรเทาอาการของวัยของหลายอย่าง ได้แก่ โรคกระดูกพรุน โรคนอนไม่หลับ อัลไซเมอร์ และโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม การกินแปะก๊วย ก็อาจให้ผลข้างเคียง อย่างเช่น ท้องร่วง ปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง คลื่นไส้อาเจียน เลือดไหลหรือผิวช้ำผิดปกติ หากมีอาการดังกล่าวก็ให้รีบไปพบแพทย์เสีย

เห็ดหอม

6. เห็ดหอม
          อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก วิตามินซี โปรตีน และใยอาหาร เห็ดหอมอยู่ในตำรับยาจีนมานานกว่า 6 พ้นปี โดยเชื่อว่ามันสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้เพราะมีสารชนิดหนึ่งชื่อว่า Letinan คอยต่อสู้กับเชื้อไวรัสต่าง ๆ มันอัดแน่นไปด้วย L-Ergothioneine สารต้านอนุมูลอิสระ และดีต่อหัวใจ เนื่องจากมันช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในเห็ดหอมมีสาร Purines หากกินมากเกินไปแล้วอาจทำให้มีการสะสมกรดยูริกจนเสี่ยงต่อโรคเกาต์ และนิ่วในไตอย่างมาก คนที่มีปัญหาไต หรือเกาต์จึงไม่ควรกินเห็ดหอม


7. เมล็ดบัว
          เป็นแหล่งโปรตีน แมกนีเซียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส รวมถึงเอนไซม์ชนิดหนึ่ง ชื่อว่า L-lsoaspartyl Methyltransferase ซึ่งช่วยซ่อมแซมโปรตีนที่ถูกทำลาย นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อกันว่าเมล็ดบัวเป็นอาหารที่ช่วยชะลอความแก่ชราได้ใน ตำรับจีนเชื่อว่า รสหวานโดยธรรมชาติของเมล็ดบัวจะช่วยบรรเทาอาการท้องร่วง และช่วยกล่อมเกลาจิตใจ ทำให้นอนหลับสบาย ส่วนแกนของเมล็ดนั้นมีรสขมและมีฤทธิ์เย็น จึงดีต่อหัวใจ โดยการช่วยขยายหลอดเลือดและลดความดันโลหิต อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยมีสรรพคุณรักษาอาการท้องร่วง คนที่ท้องผูกจึงควรหลีกเลี่ยงเมล็ดบัวโดยเด็ดขาด
โสมเกาหลี


8. โสม
          หากพูดกันถึงสมุนไพรจีนคงขาดโสมไปไม่ได้โสมแดงของจีนนั้นถูกใช้ในทางการ แพทย์มาหลายศตวรรษ และในปัจจุบันก็ยังมีการใช้อย่างแพร่หลาย ในสมัยโบราณเชื่อว่าโสมเป็นยาอายุวัฒนะส่งเสริมปัญญาและความแข็งแรง แม้ว่ายังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม แต่การศึกษาจาก University of Maryland ก็ชี้ว่าโสมสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้จริง ช่วยลดคอเลสเตอรอลเลว และช่วยให้กระปรี้กระเปร่า อย่างไรก็ดี โสมไม่เหมาะกับคนที่เป็นความดันโลหิตสูง คนที่เป็นเบาหวาน สตรีมีครรภ์ และหญิงสาวที่กำลังให้นมบุตร


9. รากชะเอม
          นอก จากใช้ในตำรับจีนแล้วยังสาวต้นตอไปได้ถึงสมัยโรมันซึ่งมีการต้มรากชะเอม เพื่อบรรเทาอาการไอ หอบ เจ็บคอ โรคปอดอื่น ๆ และเชื่อว่ามันจะช่วยชะล้างภายในลำไส้ได้ นอกจากนี้ ยังเหมาะกับผู้หญิงวัยทองเนื่องจากมันมีไฟโตเอสโตรเจนด้วย อย่างไรก็ตาม การกินรากชะเอมมาก ๆ ก็อาจทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไม่ควรกินพร้อมกับยาขับปัสสาวะ เช่นเดียวกับที่คนเป็นโรคเบาหวานกับโรคตับ ควรจะหลีกเลี่ยงรากชะเอมเหมือนกัน


10. เฉาก๊วย
          ด้วยเหตุที่มันดำ แวววาว และเด้งดึ๋ง เป็นที่สุด คนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยนึกถึงเฉาก๊วยในแง่ของสมุนไพรหรืออาหารเพื่อสุขภาพ เฉาก๊วยมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Black Jelly หรือ Grass Jelly ซึ่งตัวมันเองเป็นอาหารที่มีธาตุหยิน หรือเป็นอาหารเย็นนั่นเอง ทำให้เหมาะจะกินในหน้าร้อน และบรรเทาอาการปวดท้อง คลื่นเหียน อาหารไม่ย่อย นอกจากนี้ ยังมีใยอาหารชนิดละลายในน้ำ ซึ่งอาจจับเอาน้ำตาลและไขมันออกมาได้ มันจึงช่วยป้องกันเบาหวานและโรคหัวใจได้อีกทางหนึ่ง (ตราบใดที่คุณไม่ใส่น้ำเชื่อมเยอะมากเกินไปละก็นะ)


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

2554/05/01

คลายร้อน...ด้วยการบริโภคอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ

วิตามินบี
 


"สำหรับในหน้า ร้อน ร่างกายของเราจะมีการขับเหงื่อมากกว่าปกติ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียหรืออาจเกิดอาการภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ เพราะน้ำในร่างกายจะสูญเสียไปกับเหงื่อ แต่มีสมุนไพรไทยหลายชนิดที่มีฤทธิ์ช่วยลดคลายร้อน ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายได้ โดยเฉพาะสมุนไพรที่มีรสขมจะมีฤทธิ์เย็นที่ทำให้รู้สึกสดชื่น รวมทั้งช่วยปรับธาตุในร่างกายให้สมดุล เช่น มะระ ใบบัวบก แตงกวา สะเดา ขี้เหล็ก แตงโม กระเจี๊ยบ ฯลฯ อาหารในแต่ละมื้ออาจจะมีสมุนไพร เหล่านี้อยู่สักหนึ่งเมนู จะเป็นยอดมะระต้มจิ้มกับน้ำพริกหรือแกงขี้เหล็กปลาย่าง นอกจากจะช่วยดับร้อนแล้วยังช่วยในส่วนของระบบขับถ่ายอีกด้วย หรือหากต้องการดับกระหายก็เลือกดื่มน้ำแตงโม น้ำมะนาว น้ำมะพร้าว น้ำมะตูม น้ำยาอุทัย ผลไม้เหล่านี้จะช่วยเพิ่มความสดชื่นและดับกระหายได้"

          ด้านโภชนากรซูซาน โบเวอร์แมน ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ ได้ให้คำแนะนำว่าในฤดูร้อน อาหารเบา ๆ เหมาะสำหรับร่างกายของคนเรามากกว่าอาหารหนักซึ่งเหมาะสำหรับรับประทานในฤดู หนาวที่มีอากาศหนาวเย็น ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นเพราะอากาศร้อนที่ทำให้เราต้องการบริโภคอาหารเบาๆ หรือเป็นเพราะมีอาหารสำหรับหน้าร้อนให้เลือกรับประทานหลากหลายชนิด แต่จริงๆ แล้ว โดยธรรมชาติของร่างกายคนเราจะเปิดรับน้ำและผักผลไม้ที่อุดมด้วยน้ำในยาม อากาศร้อนมากที่สุด

          อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นในหน้าร้อนทำให้ร่างกายของเราขับเหงื่อออกมากขึ้น ส่งผลให้เราสูญเสียน้ำและแร่ธาตุหลากหลายชนิดในร่างกาย อาทิ โซเดียม โปแตสเซียม และแมกนีเซียม เป็นต้น น้ำและแร่ธาตุส่วนที่ถูกขับออกจากร่างกายนั้นไม่มีการสร้างเสริมขึ้นมาทดแทน ใหม่ เราจึงรู้สึกอ่อนเพลียและไร้เรี่ยวแรง ซึ่งแน่นอนว่าสภาวะเช่นนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณอยากออกไปสนุกสนานในฤดูร้อน...และต่อไปนี้ คือสุดยอดอาหารคลายร้อนที่โภชนากรซูซานแนะนำ

          สุดยอดอาหารคลายร้อน

          ผักและผลไม้ทุกชนิดอุดมด้วยน้ำ และส่วนใหญ่ก็เป็นแหล่งสร้างเสริมโปแตสเซียมที่ดี ดังนั้น "ผลไม้" จึงเป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับฤดูร้อน แต่ยังมี สุดยอดอาหารคุณภาพอีก 4 ประเภท ที่ช่วยทำให้คลายร้อนได้มากขึ้น ได้แก่ ผลไม้จำพวกแตง (Melon) เบอร์รี่ ผักขม และพริกไทย...แต่จะสุดยอดอย่างไรล่ะ!.


ผลไม้จำพวกแตง
  อันดับ 1 : ผลไม้จำพวกแตง

          บรรดาเหล่าแตงทั้งหลาย อาทิ แตงโมและ แคนตาลูป ซึ่งมีส่วนประกอบของน้ำสูงถึง 95% จึงสามารถทดแทนน้ำในร่างกายที่สูญเสียไปเนื่องจากอากาศร้อนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังอุดมด้วยโปแตสเซียม โดยเฉพาะแคนตาลูปซึ่งถือเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอีกประเภทหนึ่ง เพราะนอกจากจะมีโปแตสเซียมสูงกว่าแตงโมถึง 3 เท่าแล้ว สีส้มของแคนตาลูปยังมีสารเบตาแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายไม่ให้รับผลกระทบจากรังสีอุ ลตร้าไวโอเล็ตอีกด้วย

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

  อันดับ 2 : ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

          ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ จัดเป็นผลไม้รสอร่อยประจำฤดูร้อน มีส่วนผสมของน้ำและสารประกอบทางธรรมชาติสำหรับรักษาอาการปวดบวมอักเสบ ซึ่งสารดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของยาแอสไพริน ดังนั้น การบริโภคเบอร์รี่รสหวานฉ่ำอร่อยเลิศ จึงช่วยลดอาการอักเสบและช่วยถอนพิษจากการเผาไหม้ของแสงแดดฤดูร้อนได้เป็น อย่างดี

ผักโขม

  อันดับ 3 : ผักโขม

          ผักโขม ให้คุณประโยชน์หลัก 2 ประการ ประการแรก...ผักขมและผักใบเขียวนอกจากจะอุดมไปด้วยน้ำ ยังเป็นแหล่งสะสมของแมกนีเซียม หนึ่งในแร่ธาตุที่เราสูญเสียไปพร้อมกับเหงื่อที่ถูกขับออกจากร่างกาย นอกจากนี้ ใบสีเขียวเข้มของผักขมยังมีสารลูติน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จึงช่วยปกป้องผิวและสายตาจากการถูกทำลายจากแสงแดด

พริกไทย
  อันดับ 4 : พริกไทย

          พริกไทย อาจเป็นตัวเลือกอันดับสุดท้ายสำหรับหลายๆ คนที่จะนำมาบริโภคในช่วงอากาศร้อน แต่ในความเป็นจริงเราจะพบว่าพริกไทยที่เผ็ดร้อนสามารถกระตุ้นให้เกิดการขับ เหงื่อออกจากร่างกาย ซึ่งเมื่อเหงื่อระเหยออกจากผิวจะทำให้เกิดความรู้สึกเย็นสบายแก่ร่างกายของ เราได้อย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนี้ พริกไทยยังมีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นสารต้นอนุมูลอิสระอีกตัวหนึ่งที่ช่วยปกป้องผิวจากการถูกคุกคามของ แสงแดดและหากคุณยังรู้สึกร้อนระอุ ลองบริโภคอาหารรสจัดและมีกลิ่นฉุนอย่างกระเทียมสดและขิง ซึ่งมีคุณสมบัติในการขับเหงื่อเหมือนกัน ก็จะช่วยให้คุณรู้สึกสบายขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ...
         
          แม้ว่าผลไม้และผักจะมีส่วนประกอบของน้ำในปริมาณมาก แต่ไม่ควรบริโภคเพราะผลไม้และผักแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำในหน้าร้อน ควรดื่มน้ำมากๆ และพยายามอย่าให้เกิดความรู้สึกกระหาย เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายของคุณสั่งให้คุณดื่มเครื่องดื่ม นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณมีอาการค่อนข้างขาดน้ำ เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬาจึงเป็นทางเลือกที่ดีอีกตัวหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่คุณออกกำลังกายในสภาพอากาศร้อนขึ้น เกลือแร่จะช่วยดูดซับความชุ่มชื้นให้แก่ร่างกายได้สูงสุด

          การดื่มเครื่องดื่มที่เหมาะสมร่วมกับการบริโภคผักและผลไม้สดในปริมาณมากจะ ช่วยทำให้คุณคลายร้อนได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยทดแทนน้ำ และเกลือแร่ที่สูญเสียจากการขับเหงื่อของร่างกาย นอกจากนี้ ผักและผลไม้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายจากการคุกคามของแสง แดด ทำให้คุณคลายร้อนและรู้สึกเย็นกายสบายใจท่ามกลางอุณหภูมิของอากาศอันร้อน ระอุ...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

2554/04/30

ผิวเต่งตึงด้วยผักรสขม

ใครเลยจะคิดว่าผักขมๆ อย่างบัวบกและขี้เหล็กจะช่วยบำรุงผิวพรรณได้ วันนี้ปั้นสวยด้วยมือคุณ ไปค้นหาสูตรเด็ดที่หลายคนยังไม่เคยได้ยินมาฝาก รับรองว่าทำแล้วไม่มีอันตรายใดๆค่ะ เพราะผักสองชนิดนี้ขึ้นชื่อว่ามีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรอยู่แล้ว สรรพคุณที่ว่านั้นคืออะไร และสูตรบำรุงผิวมีส่วนผสมอะไรบ้างโปรดติดตามค่ะ

บัวบก+ขี้เหล็ก รสขมดีต่อผิว

ในบรรดาผักทั้งหลาย คาดว่าหลายคนคงจัดบัวบกและขี้เหล็กไว้ในลำดับท้ายๆของผักที่ชื่นชอบ เพราะรสขมของผักทั้งสองชนิด ทำให้เป็นผักที่ทานยากอยู่สักหน่อย โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ชอบทานผักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ลองมาฟังประโยชน์ของผักรสขมกันหน่อย เผื่อจะทำใจให้ชอบขึ้นมาได้บ้างค่ะ



เริ่มจากบัวบก ซึ่งนำมาใช้บำบัดอาการเกี่ยวกับสมองมาเป็นเวลานาน และให้ผลค่อนข้างดี จนได้ชื่อว่าเป็น "อาหารสมอง" อีกอย่างหนึ่ง เพราะคนสมัยก่อนเชื่อว่าการรับประทานบัวบกจะช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรองให้กับสมอง ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงาน ทั้งในแง่ของกำลังกาย และกำลังสมอง ทั้งยังช่วยควบคุมความดันโลหิตให้ปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่ ช่วยกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอย่างอ่อน

จากการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก พบว่าจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation) ซึ่งช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ รวมทั้งยังอุดมด้วยวิตามินต่างๆ

นอกจากนี้ยังพบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลเร่งการสร้างสาร คอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิว จึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้นระงับการเจริญ เติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดหนองและลดการอักเสบ มีรายงานการค้นพบฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา อันเป็นสาเหตุของโรคกลาก ปัจจุบัน มีการพัฒนายาบัวบกชนิดครีม ให้ทารักษาแผลอักเสบจากการผ่าตัด




ส่วนขี้เหล็ก ซึ่งส่วนใหญ่นิยมนำมาแกง ขึ้นชื่อลือชาทางสรรพคุณรักษาอาการท้องผูก และอาการนอนไม่หลับได้ดี ทั้งยังช่วยถอนพิษไข้ แก้เสมหะ และแก้รังแค ใบและดอกขี้เหล็ก มีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านให้พลังงาน เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เบต้า-แคโรทีน และวิตามินชนิดต่างๆ โดยเฉพาะดอกตูมมีวิตามินเอ และวิตามินซี ค่อนข้างสูง

ดังนั้น การนำผักรสขมทั้งสองชนิดมาเป็นสูตรบำรุงผิวหน้า ก็ด้วยเห็นข้อดีเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการช่วยระงับเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์  และประโยชน์จากวิตามินที่มีอยู่มากมาย โดยเฉพาะวิตามินซีซึ่งช่วยผลัดเซลล์ผิวให้สดใสขึ้น

สำหรับสูตรพอกหน้าที่นำมาแนะนำ  มี 3 สูตร คือ

สูตรที่ 1 ผิวสดชื่นด้วยบัวบก

ส่วนผสม
  • ใบบัวบก 1 กำมือ
  • น้ำสะอาดเล็กน้อย
วิธีทำ
  1. นำใบบัวบกมาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นรวมกับน้ำสะอาดจนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียว
  2. ล้างหน้าให้สะอาด แล้วพอกทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกว่าผิวหน้าสดชื่นขึ้น ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง

สูตรที่ 2 ผิวเต่งตึงด้วยขี้เหล็ก

ส่วนผสม
  • ยอดขี้เหล็ก 1/2 ถ้วย
  • น้ำผึ้งแท้ 1/2 ถ้วย
  • ยอดมะขาม 1/2 ถ้วย
วิธีทำ
  1. นำยอดขี้เหล็กและยอดมะขามมาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นรวมกับน้ำผึ้งแท้จนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน  จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียว
  2. ล้างหน้าให้สะอาด แล้วพอกทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกว่าผิวหน้าเต่งตึงขึ้น ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
*** เนื้อครีมที่เหลือสามารถเก็บในตู้เย็น ไว้ใช้ครั้งต่อไปได้

สูตรที่ 3 ผิวนวลเนียนด้วยขี้เหล็ก

ส่วนผสม
  • ใบและยอดขี้เหล็ก 1 ถ้วย
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • นมสด (เล็กน้อย)
วิธีทำ
  1. นำใบและยอดขี้เหล็กมาล้างน้ำให้สะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นรวมกับไข่ไก่ และนมจนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน  จะได้เป็นเนื้อครีมข้นและเหนียว
  2. ล้างหน้าให้สะอาด แล้วพอกทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกว่าผิวหน้าสดชื่นขึ้น ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
*** เนื้อครีมที่เหลือสามารถเก็บในตู้เย็น ไว้ใช้ครั้งต่อไปได้

คราวนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป ที่จะลองมาใช้ผักขมๆพอกหน้าดูบ้างค่ะ

Tip

  1. ใช้ใบบัวบกรักษาอาการเนื่องจากแมลงกัดต่อย โดยใช้ใบขยี้แล้วทา
  2. ใช้ใบบัวบกรักษาแผลสด ด้วยการตำให้ละเอียด พอกแผลวันละ 2 ครั้ง จะช่วยสมานแผล ระงับเชื้อแบคทีเรีย
  3. เมื่อนำใบขี้เหล็กมาบ่มรวมกับผลไม้จะช่วยทำให้ผลไม้สุกเร็วขึ้น
ที่มา ชีวจิต

2554/04/29

สูตรแก้หวัด

หัวหอมรักษาโรคหวัด

 

หัว หอมแดงนั้น สามารถรักษาโรคหวัดได้ มีหลายวิธีดังนี้ วิธีแรกคือทานสดๆ เลย โดยนำหัวหอมแดง ซอยเป็นแว่นบางๆ แล้วทาน วิธีที่สอง เอาหัวหอมมาทุบ แล้วสูดดมบ่อยๆ วิธีที่สาม รมไอน้ำ โดยต้มน้ำให้เดือด เอาหอมแดง ทุบพอแหลกใส่ลงหม้อ ปิดฝาหม้อให้เดือดต่ออีก5 นาที ยกหม้อลง เอาผ้าคลุมหัวและหม้อไว้ ค่อยๆ เปิดฝาหม้อสูดไอ จนกระทั่งหมดไอ

ดอกแคแก้หวัด

 

 ยอด แค มีเบต้าแคโรทีนสูงมาก ส่วนตัว ดอกแค ก็มีวิตามินซี ซึ่งช่วย แก้อาการหวัด ได้ดี แถมยังทำให้ ผิวสวย อีกด้วย ดอกแคมีรสขมเฝื่อน จะกินสดๆไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ต้องนำไปลวกโดยใช้เวลาสั้นที่สุด อย่าลืมดึงเกสรออกก่อนนะคะ เพราะเป็นส่วนที่ขมที่สุดค่ะ

ที่มาของข้อมูล : bkkmenu

2554/04/28

ลดกลิ่นปาก ด้วย "ผัก"

ปัญหา กลิ่นปาก สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ปัจจุบันก็ยังคงมีน้ำบ้วนปากต่าง ๆ มากมายหลายหลากยี่ห้อ แต่วันนี้เราจะมาแนะนำวิธี ลดกลิ่นปากด้วยผักที่ใกล้ตัวและคุณอาจคาดไม่ถึง วิธีก็สุดแสนทำง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเองค่ะรับรองว่าคุณภาพไม่แพ้น้ำยาบ้วนปากยี่ห้อต่าง ๆ แน่นอน

วิธี ลดกลิ่นปาก


การกินอโวคาโดเป็นวิธีง่าย ๆ อย่างหนึ่งค่ะที่ช่วยลดปัญหานี้ได้ เพราะเนื้อของอโวคาโดจะช่วยกำจัดอาหารที่เน่าเสียตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ซึ่ง เป็นสาเหตุสำคัญของกลิ่นปากให้หมดไป

นอกจากนี้ก็อยากให้ลองน้ำยาบ้วนปากสูตรเปรี้ยวซ่าแบบธรรมชาติดังต่อไปนี้ ส่วนผสมก็ไม่ยุ่งยากค่ะ มี

- น้ำคั้นจากขิงสด 1 ช้อนชา
- น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
- น้ำอุ่น 1 แก้ว

ผสมให้เข้ากัน กลั้วปากวันละครั้ง หลังแปรงฟันในตอนเช้า




ส่วนเรื่องการปรับระบบขับถ่ายให้สมดุลนั้น ตัวช่วยที่ดีที่สุดก็คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สุขภาพดีต้องดูแลจากภายในค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ชีวจิต

ผักคราดหัวแหวน อร่อยมีสรรพคุณ

ผักคราดหัวแหวน


ผักคราดหัวแหวน หรือ SPILANTHES AEMELLA MURR อยู่ในวงศ์ COMPO-SI TAE เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรง สูง 20-30 ซม. หรือทอดไปตามหน้าดินเล็กน้อยแต่ปลายจะชูขึ้น ลำต้นกลม อวบน้ำ เป็นสีม่วงปนสีเขียว หรือสีแดงเข้ม ลำต้นอ่อนมีขนปกคลุม ต้นเป็นข้อปล้อง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามบริเวณข้อใบเป็นรูปสามเหลี่ยม ขอบใบหยักพับ ก้านใบยาว ผิวใบสากมือ มีขน สีเขียวสด
ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง ลักษณะดอกเป็นกระจุกสีเหลือง ปลายดอกแหลมคล้ายหัวแหวน จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะดอกว่า “ผักคราดหัว-แหวน” ดอกย่อยมี 2 วง วงนอกเป็นตัวเมีย วงในเป็นดอกสมบูรณ์เพศ เวลามีดอกจะดูแปลกตามาก
ผล รูปไข่ มีเมล็ด ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ปักชำต้น โดยจะมีรากงอกออกมาบริเวณข้อ สามารถตัดเอาช่วงดังกล่าวไปปักชำได้เลย มีชื่อเรียกอีกคือ ผักคราด, ผักตุ้มหู, หญ้าตุ้มหู, ผักเผ็ด ชาวจีนแต้จิ๋วเรียกผักชนิดนี้ว่า “อึ้งฮวยเกี้ย” นิยมปลูกแพร่ หลายตามสวนยาจีน สวนยาไทย มีต้นวางขายเป็นผักสดให้คนซื้อไปรับประทานตามแผงขายผักพื้นบ้านทั่วไป ราคากำละไม่เกิน 10 บาทครับ.
คนรุ่นใหม่ น้อยคนนักจะรู้จักหรือเคยรับประทาน “ผักคราดหัวแหวน” ซึ่งผักชนิดนี้เป็นผักพื้นบ้าน นิยมรับประทานกันมาแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดแล้ว โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเอาทั้งต้นกินเป็นผักสดกับป่นปลา แจ่ว ซุบขนุน ซุบเห็ด ซุบหน่อไม้ หรือใส่แกงหน่อไม้ แกงอ่อมปลา เนื้อ หรือหมู ดับกลิ่นคาวได้ดีมาก รสชาติหอมเผ็ดปร่าชาลิ้นอร่อยมาก โดยเฉพาะดอกจะมีรสเผ็ด ใบรสหวานปนขมและเย็น เมื่อปรุงกับอาหารจะชวนให้รับประทานมาก คนโบราณนิยมเอาใบสดเคี้ยวแก้ปวดฟัน เป็นยาชาได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม “ผักคราดหัวแหวน” นอกจากจะใช้ปรุงเป็นอาหารและกินสดกับน้ำพริกชนิดต่างๆ ได้อร่อยตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว ทั้งต้นยังมีสรรพคุณทางสมุนไพรอีกด้วย โดยนำไปสกัดทำเป็นยาชา มีสรรพคุณแก้พิษตามทวาร แก้ริดสีดวงทวาร แก้ผอมเหลือง แก้เด็กตัวร้อน ต้นสดตำผสมเหล้า 40 ดีกรี หรือน้ำส้มสายชูอมแก้ฝีในคอ ต่อมน้ำลายอักเสบดีมาก แก้ไข้ แก้ปวดฟัน ทั้งต้นรสเผ็ดร้อนช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับลม และช่วยย่อยอาหารได้
นายเกษตร




2554/04/27

ใบกระเพรากระตุ้นรัก


 
ใครทราบบ้างว่า ใบกระเพรา สามารถ กระตุ้นรัก ได้ วันนี้มีความรู้เรื่องนี้มาฝากกันค่ะ... 
 

ต้นกระเพรา สมุนไพรไทยที่คุ้นเคยกันดี มีกลิ่นหอมฉุน อร่อยมากเมื่อนำมาผัดกะเนื้อหมูหรือไก่ และยังมีอีกความลับ (สุดยอด) อีกนิดที่ไม่มีใครรู้ ซึ่งใช้กันแพร่หลายในประเทศอินเดีย กล่าวกันว่า
ในประเทศอินเดีย หากโรย ใบกระเพรา แห้ง (กระเพราแดง จะมีกลิ่นฉุนกว่า กระเพราเขียว) ลงบนถ่านติดไฟแดงรุม ๆ ล่ะก็ หากหนุ่มสาวสูดดมกลิ่มเข้าไป จะช่วยเร้าอารมณ์ให้เกิดกามตัณหารุนแรงขึ้น เพราะฉะนั้นในพิธีงานแต่งงานของชาวอินเดียจึงนิยม โรย ใบกระเพรา แห้งลงบนถ่านไฟในตระกร้าถ่าน ให้กลิ่น กะเพรา โชยชวน จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม ประเทศอินเดียจึงมีประชากรมากมายนัก
นอกจากกลิ่นนี้จะส่งกลิ่นไปยังคู่บ่าวสาวแล้วยัง ส่งผลไปถึงแขกที่มางานด้วย...
 

ข้อมูลและภาพโดย